๔. การยืมใช้งาน
เกษตรกรหรือทหารผ่านศึกที่ยากจน ไม่สามารถจะช่วยตนเองได้จริงๆ
อาจติดต่อขอรับความช่วยเหลือขอยืมโค-กระบือ ไปใช้งานได้ โดยธนาคารฯ
จะได้จัดเจ้าหน้าที่ไปพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษเป็นรายๆ ไป
การจัดตั้งธนาคารโค-กระบือ
แต่ละแห่งจะเริ่มต้นด้วยสมาชิกอย่างต่ำสุด ๑๐ ราย
ซึ่งเป็นเกษตรกรยากจนอยู่ในพื้นที่ที่มีความเดือดร้อนในการหาโค-กระบือเพื่อมาใช้งาน
คณะกรรมการหมู่บ้านจะเป็นผู้คัดเลือกผู้ที่มีฐานะยากจน มีความประพฤติดี
ขยันหมั่นเพียรและไม่มีโค-กระบือของตนเอง จัดเรียงลำดับไว้ ธนาคารฯ
จะจัดสรรโค-กระบือให้แก่ราษฎรในหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกไว้แล้วตามจำนวนโค-กระบือที่ธนาคารฯ
มีอยู่ ซึ่งได้รับบริจาคจากประชาชนทั่วไป หรือจากงบประมาณของรัฐ
ผู้ที่ยังไม่ได้รับโค-กระบือจากธนาคารฯ ในครั้งแรกก็จะมีโอกาสได้รับในคราวต่อไป
เมื่อธนาคารฯ มีโค-กระบือ เพิ่มขึ้น
ธนาคารโค-กระบือ
ในหมู่บ้านที่มีการบริหารและการจัดการโครงการที่ดีก็จะเกิดผลประโยชน์เพิ่มพูนขึ้น
ลูกโค-กระบือที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นของธนาคารโค-กระบือ
ได้นำไปหมุนเวียนให้บริการแก่เกษตรกรรายอื่นๆ ต่อไป
การดำเนินงานในลักษณะนี้ทำให้โครงการธนาคารโค-กระบือ
เกิดผลประโยชน์ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เกษตรกรได้รับบริการอย่างทั่วถึง
โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
|
|
|
|
สรุป
ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากธนาคารโค-กระบือ นั้น
ส่งผลโดยตรงกับตัวเกษตรกรที่ยากจน
คือได้ช่วยเหลือให้เกษตรกรสามารถมีปัจจัยการผลิตเป็นของตนเอง
ไม่ต้องเสียค่าเช่าแรงงานโค-กระบือ ในอัตราสูง
เป็นหลักประกันอย่างหนึ่งซึ่งเอื้ออำนวยให้การผลิตเกิดผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วนผลประโยชน์ทางอ้อมนั้น
เกิดขึ้นจากการเลือกใช้กลยุทธที่เหมาะสมในการพัฒนา เพราะแรงงานแบบดั้งเดิมนี้
เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมแบบยังชีพ
ซึ่งเกษตรกรมีฐานะยากจนจะมีพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก
แรงงานแบบดั้งเดิมนี้ไม่ต้องการความรู้ทางเทคนิควิชาการชั้นสูงใดๆ
ในการบำรุงรักษา การใช้แรงงานโค-กระบือ ในการทำนา ปลูกข้าว
เป็นลักษณะของการอยู่ร่วมกันและการพึ่งพากันตามธรรมชาติ
เกษตรกรสามารถเรียนรู้ได้เองจากการดำรงชีพ อีกทางหนึ่ง
การใช้แรงงานสัตว์เป็นการเลือกใช้พลังงานจากธรรมชาติ แทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งเป็นทรัพยากรที่นับว่าจะเหลือน้อยลงไป และมีราคาสูงขึ้น
ดูจะเป็นประโยชน์หลายทางซึ่งสอดคล้องกันอย่างพอเหมาะยิ่ง
|