ความทั่วไป
ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่มนุษยชาติมากมายหลายประการ
นับตั้งแต่รักษาดุลธรรมชาติ ควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่แปรปรวน
รักษาต้นน้ำลำธาร พันธุ์พฤกษชาติและสัตว์ชาติ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ให้มนุษย์ได้บริโภคใช้สอยและประกอบอาชีพการทำไม้
การเก็บหาของป่า การขนส่ง การอุตสาหกรรม การผลิตไม้แปรรูป
และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากไม้และของป่า
ตลอดจนการส่งจำหน่ายเป็นรายได้แก่ประชาชนและประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย
แต่ในสภาพปัจจุบัน
ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้ เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำกิน
ลักลอบตัดไม้เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมและเผาถ่าน นอกจากนั้นแล้ว
การเร่งรัดการดำเนินงานบางโครงการ เช่น ก่อสร้างถนน สร้างเขื่อน เป็นต้น
มีการตัดไม้โดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
มีผลให้ป่าไม้ของประเทศไทยในปัจจุบันมีเนื้อที่ลดลง
และบางแห่งอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบถึงปัญหาด้านนี้
ได้มีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปรับปรุง
และทรงพัฒนาป่าไม้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดังเช่นในอดีต
เพื่อเป็นการยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนถ้วนหน้า
ดังแนวพระราชดำรัสเกี่ยวกับการพัฒนาป่าไม้ เมื่อ พ.ศ.2523 ดังนี้
"...แต่ป่าไม้ที่ปลูกนั้น
สมควรที่จะปลูกแบบป่าสำหรับใช้ไม้หนึ่ง ป่าสำกรับใช้ผลหนึ่ง
ป่าสำหรับใช้เป็นฟืนอย่างหนึ่ง อันนี้แยกออกไปเป็นกว้างๆ ใหญ่ๆ
การที่จะปลูกต้นไม้สำหรับได้ประโยชน์ดังนี้ ในคำวิเคราะห์ของกรมป่าไม้
รู้สึกว่าจะไม่ใช่ป่าไม้เป็นสวนหรือจะเป็นสวนมากกว่าเป็นป่าไม้
แต่ในความหมายของการช่วยเพื่อต้นน้ำลำธารนั้น
ป่าไม้เช่นนี้จะเป็นสวนผลไม้ก็ตามหรือเป็นสวนไม้ฟืนก็ตาม
นั่นแหละเป็นป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่าคือเป็นต้นไม้
และทำหน้าที่เป็นทรัพยากรในด้านสำหรับเป็นผลที่มาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้..."
ซึ่งพระราชดำรัสนี้
เป็นที่มาของสำนวนที่กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องนิยมใช้คือ " ไม้ 3 อย่าง"
ปัญหาด้านป่าไม้
สัดส่วนของพื้นที่ป่าไม้ที่เหมาะสมต่อการรักษาดุลย์ธรรมชาติในความเห็นของนักวิชาการ
ควรมีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมดทั่วประเทศ
ส่วนในกรณีของประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากเช่นเช่นนี้
พื้นที่ป่าไม้อาจจะลดลงไปได้บ้าง
รัฐบาลได้มีนโยบายกำหนดพื้นที่ป่าไม้ให้เหลือไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40
ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยมีหลักเกณในการแบ่งพื้นที่ป่าไม้ออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ป่าเพื่อเศรษฐกิจ
กำหนดไว้เพื่อการผลิตไม้และของป่าเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 25
ของพื้นที่ทั้งประเทศ
- ป่าเพื่อการอนุรักษ์
กำหนดไว้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ป่าที่หายาก
และป้องกันภัยธรรมชาติอันจะเกิดจากน้ำท่วม และการพังทลายของดิน
ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และนันทนาการของประชาชน
ในอัตราร้อยละ 15 ของพื้นที่ทั้งประเทศ
อ่านหน้าต่อไป |