เฉลี่ย
1.5 ล้านไร่ต่อปี
โดยพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกทำลายส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ
ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกของประเทศ
พื้นที่ที่ถูกบุกรุกซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการจับจองไว้เพื่อการทำไร่เลื่อนลอย
การทำไร่ถาวร เพราะการทำไร่นั้นเป็นการตัดต้นไม้ทุกขนาดในพื้นที่ลงจนหมดสิ้น
แล้วทำการเก็บริบสุมเผาให้เป็นเถ้าถ่าน
เมื่อฝนตกน้ำฝนจะไหลบ่าชะหน้าดินซึ่งอุดมสมบูรณ์ลงมายังที่ราบลุ่มเป็นเหตุให้แม่น้ำลำธารตื้นเขิน
และนำไปสู่การกัดเซาะดินเป็นการทำลายความสมดุลทางนิเวศวิทยา
ทั้งยังทำให้ชาวไร่ต้องเพิ่มอัตราการใช้ปุ๋ยเพราะหน้าดินถูกชะล้าง
จนขาดความสมบูรณ์ ตะกอนซึ่งเกิดจากการกัดเซาะทำให้อายุการใช้งานของเขื่อนต่างๆ
ลดน้อยลงกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
อย่างที่ไม่สามารถนำรายได้จากพืชไร่มาเปรียบเทียบได้
ปัญหาการบุกทำลายป่าไม้นั้น อาจสรุปได้ว่าเกิดจากความยากจน ความรู้เท่าไม่ถึงการของราษฎรและความต้องการที่ดินเพื่อปลูกพืชทางการเกษตร
ในขณะที่การบุกรุกทำลายป่าไม้มีอัตราสูง
แต่การส่งเสริมการปลูกป่าทดแทนป่าที่ถูกทำลายไปนั้น
ดำเนินการได้ในสัดส่วนที่ต่ำกว่ามาก กล่าวคือ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงปี
พ.ศ.2529 ปลูกป่าได้เพียง 3.54 ล้านไร่
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ
หรือทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดาร เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งใด
ซึ่งควรที่จะแก้ไขปรับปรุงพัฒนาให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว
ก็จะทรงพิจารณาหาทางช่วยเหลือโดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
สำหรับพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
พอที่จะสรุปแนวพระราชดำริได้ดังต่อไปนี้
1.
แนวพระราชดำริในด้านการปลูกป่าทดแทน
1.1
ปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกแผ้วถาง และพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
1.2
ปลูกป่าเนื่องจากพื้นที่ป่าตามบริเวณอ่างเก็บน้ำหรือเหนืออ่างเก็บน้ำไม่มีความชุ่มชื้นยาวนานพอ
1.3 ปลูกป่าบนเขาสูง
เนื่องจากสภาพป่าบนที่เขาสูงทรุดโทรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อลุ่มน้ำตอนล่าง
1.4
ปลูกป่าเพื่อพัฒนาลุ่มน้ำและแหล่งน้ำให้มีน้ำสะอาดบริโภค
1.5
ปลูกป่าเพื่อให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยใช้ราษฎรในท้องที่นั้นๆ
และเป็นการสร้างความเข้าใจให้ราษฎรเห็นความสำคัญของการปลูกป่า
1.6
ปลูกป่าเสริมธรรมชาติ เป็นการเพิ่มที่อยู่อาศัยแก่สัตว์ป่า
2.
แนวพระราชดำริในด้านอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ (สัตว์ป่าและวนอุทยาน)
2.1
ให้มีการสงวนพันธุ์สัตว์ป่าและเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางชนิดที่หายาก
และกำลังจะสูญพันธุ์
2.2
จัดให้ดำเนินการเกี่ยวกับสวนสัตว์เปิด เพื่อเป็นที่ให้ประชาชนได้เข้าไปเที่ยวชม
พร้อมทั้งส่งเสริมให้ราษฎรทำการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเป็นอาชีพ
3.
แนวพระราชดำริในด้านการจัดพื้นที่ทำกิน
3.1
สร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็กแล้ว จึงให้มีการขยายพื้นที่ทำกิน
หรือจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรทั้งชาวไทยภูเขา และชาวไทยพื้นราบ
3.2
จัดที่ทำกินให้ราษฎรแล้ว ยังต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจและสังคม
พร้อมทั้งสิ่งแวดล้อม บริเวณใกล้เคียง เช่น มีการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม
และการจัดน้ำบริโภค เป็นต้น
3.3
ฝึกอาชีพให้ราษฎรสามารถช่วยตัวเองได้ และทำกินให้เป็นหลักแหล่ง
เลิกตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น
3.4
จัดระเบียบหมู่บ้านในรูปสหกรณ์
พร้อมทั้งทำการพัฒนาหมู่บ้านในลักษณะโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง
เพื่อให้สามารถควบคุมราษฎร ไม่ให้บุกรุกทำลายป่าและล่าสัตว์
3.5
จำแนกสมรรถนะของที่ดินให้เหมาะสม ที่ดินที่สามารถทำประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมได้
ก็ให้ใช้ทำเกษตรกรรม และพื้นที่ใดที่ไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้
ก็ให้มีการรักษาสภาพป่าไว้ โดยให้มีการปลูกป่าไม้ 3 ชนิด ได้แก่
ไม้สำหรับใช้สอย ไม้ผล และไม้สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง
4.
แนวพระราชดำริในด้านการพัฒนาวิจัยด้านป่าไม้
4.1
ดำเนินการศึกษาวิจัยด้านป่าไม้ ในรูปแบบที่แตกต่างกันตามสภาพท้องถิ่น
4.2
ทำการศึกษาพัฒนาและวิจัยความสัมพันธ์ของป่าไม้กับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น
ป่าไม้/ประมง ในพื้นที่ป่าชายเลน การพัฒนาด้านชลประทานเกี่ยวกับป่าไม้
โดยการจ่ายน้ำตามแหล่งน้ำในช่วงฤดูร้อน (แล้ง) เพื่อให้มีความชุ่มชื้น
และทำให้ป่าต้นน้ำลำธารมีความชุ่มชื้นสมบูรณ์ตลอดทั้งปี
และปลูกไม้พื้นล่างเสริมเพื่อช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำในฤดูฝน
4.3
ศึกษาเกี่ยวกบการป้องกันไฟป่า โดยใช้ระบบเปียก (ความชื้น) เป็นต้น
อ่านหน้าต่อไป
|