ความทั่วไป
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผลผลิตข้าวปีละประมาณ ๑๙ ล้านตัน
(ข้อมูลในปี ๒๕๓๐) และเพิ่มเป็น ๒๕.๙ ล้านตัน (ข้อมูลในปี ๒๕๔๕)
เป็นประเทศส่งออกข้าวรายใหญ่รายหนึ่งของโลก
นับเป็นประเทศที่มีธัญพืชและทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ยิ่งแห่งหนึ่ง
แต่ก็ยังมีผู้คนในชนบทจำนวนมาก ภายหลังจากได้เก็บเกี่ยวข้าวในนาของตนไปแล้ว
กลับขาดแคลนข้าวที่จะบริโภค หรือใช้ทำพันธุ์ในฤดูเพาะปลูกครั้งต่อไป
การขาดแคลนข้าวของชาวนาในชนบท เป็นความเดือดร้อนอย่างยิ่ง
ครัวเรือนที่ยากจนมักแก้ไขปัญหาโดยวิธีกู้ยืมจากพ่อค้าคนกลาง
ซึ่งอาจจะกู้ยืมเป็นข้าวหรือเป็นเงินโดยต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก
เฉลี่ยแล้วราวร้อยละ ๓๐-๑๒๐ บาทต่อปี ในบางกรณี
ก็ต้องกู้ยืมโดยวิธีการขายข้าวเขียว ซึ่งเป็นผลให้ผู้กู้เสียเปรียบอย่างมาก
ทำให้ผลผลิตข้าวที่ได้ไม่เพียงพอสำหรับการบริโภค และการชำระหนี้
ในที่สุดก็กลายเป็นผู้ที่มีหนี้สินพอกพูน ตกอยู่ในสภาพที่ยากจน ล้าหลัง
ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ และเป็นที่มาของปัญหาการพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไปอีก
การที่ประเทศเรามีธัญพืชมากพอที่จะเลี้ยงดูคนทั้งประเทศ
แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่มีข้าวพอกินเป็นสองภาพที่ขัดแย้งกันของชนบทไทย
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นด้วยปัจจัยหลากหลายประกอบกัน
นับแต่ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินและน้ำ ประสิทธิภาพของการผลิต
การควบคุมระบบตลาด กลไกราคา และภาวะการค้าต่างประเทศ
แม้ว่ารัฐบาลจะกำหนดนโยบายและวางแผนที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยมาตรการต่างๆ
จำนวนมาก แต่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขก็เป็นเรื่องระยะยาวที่มองไม่เห็นผลในทันที
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการธนาคารข้าว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ สู่ภูมิภาคต่างๆ
ในท้องถิ่นชนบทของประเทศอย่างสม่ำเสมอมานับสิบปี ด้วยเหตุนี้
พระองค์จึงทรงเห็นสภาพความยากจน
เดือดร้อนและเข้าพระราชหฤทัยอย่างลึกซึ้งแจ่มชัดถึงสาเหตุแห่งปัญหา
พระองค์ทรงริเริ่มและพระราชทานแนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาในระดับต่างๆ
อย่างเหมาะสม ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะให้ประชาชนพึ่งตนเอง
ให้พึ่งพึ่งพาอาศัยปัจจัยภายนอกให้น้อยที่สุด
ในบางเรื่องทรงเห็นว่าการจัดสรรทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญๆ
จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว
และในบางกรณีก็ทรงเห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของราษฎร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องข้าว ทรงพยายามทำทุกวิถีทางให้เกษตรกรมีข้าวพอกิน
อาจกล่าวได้ว่า "ธนาคารข้าว" เป็นผลมาจากพระปรีชาดังกล่าว
เป็นความพยายามด้านหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
และเป็นพระราชประสงค์โดยตรงที่จะให้ทางราชการไปช่วยเหลือในการจัดตั้งธนาคารข้าว
เพื่อประโยชน์แก่เกษตรกรที่ยากจนโดยทั่วไป อาจกล่าวได้ว่า
พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก่อรูป "ธนาคารข้าว" ขึ้น
และทำให้ธนาคารข้าวกลายเป็นแนวคิดที่แพร่หลาย
เป็นนโยบายของรัฐและเป็นแผนงานสำคัญแผนหนึ่งของการพัฒนาชนบทยากจนที่ผ่านมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนให้มีการจัดตั้งธนาคารข้าว
ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๙
เมื่อครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง
ในเขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ได้พระราชทานข้าวเปลือกจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ใหญ่บ้านหลายหมู่บ้าน
เพื่อเป็นทุนเริ่มดำเนินกิจการธนาคารข้าว
ได้พระราชทานแนวทางดำเนินงานไว้อย่างละเอียดชัดเจน ดังบันทึกต่อไปนี้
"...ให้มีคณะกรรมการควบคุม
ที่คัดเลือกจากราษฎรในหมู่บ้าน เป็นผู้เก็บรักษา
พิจารณาจำนวนข้าวที่จะให้ยืมและรับคืน ตลอดจนจัดทำบัญชีทำการของธนาคารข้าว
ราษฎรที่ต้องการข้าวไปใช้บริโภคในยามจำเป็นให้ลงบัญชียืมข้าวไปใช้จำนวนหนึ่ง
เมื่อสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้แล้ว ก็นำมาคืนธนาคาร
พร้อมด้วยดอกเบี้ยจำนวนเล็กน้อยตามแต่ตกลงกัน
ซึ่งข้าวที่เป็นดอกเบี้ยดังกล่าวก็จะเก็บรวมไว้ในธนาคาร
และถือเป็นสมบัติของส่วนรวม สำหรับกรรมการควบคุมข้าวนั้น
มีสิทธิ์ในการขอยืมข้าวเท่ากับราษฎรทุกประการ
ต้องอธิบายให้กรรมการและราษฎรเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงหลักการของธนาคารข้าว
โดยพยายามชี้แจงอย่างง่ายๆ แต่ต้องให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจดี กรรมการ
และราษฎรก็ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อหลักการ เมื่อยืมข้าวจากธนาคารข้าว
ซึ่งเป็นของส่วนรวมไปใช้และถึงกำหนดเวลาสัญญาไว้
ก็ต้องนำข้าวมาคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากว่ามีเหตุสุดวิสัย
ซึ่งต้องชี้แจงให้กรรมการพิจารณาข้อเท็จจริง
ราษฎรต้องร่วมมือกันสร้างยุ้งที่แข็งแรง ทั้งนี้หากปฏิบัติตามหลักการที่วางไว้
จำนวนข้าวที่หมุนเวียนในธนาคารจะไม่มีวันหมด แต่จะค่อยๆ
เพิ่มจำนวนขึ้นแลจะมีข้าวสำหรับบริโภคไปจนถึงลูกหลาน
ในที่สุดธนาคารข้าวก็จะเป็นแหล่งที่รักษาผลประโยชน์ของราษฎรในหมู่บ้าน
และเป็นแหล่งอาหารสำรองของหมู่บ้านด้วย..."
อ่านหน้าต่อไป |