หน้า   1    2    3

 

 

 แมลงสาบในวงศ์ Blattellidae พบได้ตามบ้านเรือน เป็นศัตรูตามบ้านเรือน กินอาหารได้หลายชนิด

 

 
ไรในดิน Order Acari มีหลายชนิด ขนาดเล็กพบในดิน
 

 

กำหนดพื้นที่ศึกษา 1 ตารางเมตร

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 






 

 

          ปัจจุบันนี้ กระแสของการอนุรักษ์กำลังมาแรง คนส่วนมากจะนึกถึงแต่การอนุรักษ์พลังงาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ป่าไม้ สัตว์ป่า ต้นน้ำลำธาร ภูเขา ชายทะเล ป่าชายเลน และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย จะมีสักกี่คนที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนหน้าดอนและในดิน สิ่งมีชีวิตดังกล่าว ก็มีบทบาทไม่ใช่น้อย เพราะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบนิเวศ
          เนื่องจาก สัตว์เหล่านี้ ต่างก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติ บางชนิดเป็นผู้ย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์ที่ตายลง ทำให้เน่าเปื่อยผุพังจนกระทั้งกลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลง โดยอาศัยผู้ย่อยสลายตามลำดับชั้น สิ่งมีชีวิตบางชนิดทำหน้าที่เป็นสัตว์ตัวห้ำ ซึ่งหมายถึงมันจะกินสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นอาหาร หรือบางชนิดก็จะทำหน้าที่เป็นตัวเบียนตัวเบียนจะอาจจะทำให้สัตว์อื่นที่มันไปอาศัยอยู่ด้วยเกิดโรคขึ้นได้ และในเวลาเดียวกันตัวเบียนก็อาจจะเป็นอาหารของสัตว์ที่มี่ขนาดใหญ่กว่าก็ได้  การทำหน้าที่ของสัตว์ดังกล่าวจะทำให้เกิดความสมดุลในธรรมชาติ เป็นการหมุนเวียนถ่ายทอดพลังงานภายใต้วงจรของห่วงโซ่อาหาร (
food chain) และสายใยอาหาร (food web) สัตว์หน้าดินและสัตว์ในดิน รวมทั้งแมลงจึงเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่างหนึ่ง เช่น แมลงหางดีดเป็นดัชนีชี้วัดว่าพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีสารเคมีอันตรายปนเปื้อนอยู่ในดิน พื้นที่การเกษตรที่มีการใช้สารเคมีอย่างมากเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชมักจะไม่พบแมลงหางดีด  ด้วงมูลสัตว์เป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่า จะพบว่าพื้นที่ที่มีด้วงมูลสัตว์น้อย แสดงให้เห็นว่าพืชพันธุ์ไม้ในป่านั้นๆ มีน้อย สัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่านั้น มีอาหารกินน้อยจึงถ่ายมูลออกมาน้อยเช่นกัน ด้วงมูลสัตว์ซึ่งต้องใช้มูลสัตว์เป็นที่สำหรับการเจริญเติบโตแพร่ขยายพันธุ์ ก็จะแพร่พันธุ์ได้น้อยตามไปด้วย การได้พบตัวชีปะขาวในยามค่ำคืนก็จะเป็นการบอกให้ทราบว่าแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้ ยังเป็นแหล่งน้ำสะอาดปราศจากมลภาวะ เพราะว่าตัวอ่อนของชีปะขาวจะเจริญเติบโตได้เฉพาะในแหล่งน้ำที่สะอาดเท่านั้น
          สัตว์หน้าดิน ในดิน สามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มตามขนาด ได้แก่

  • Macro soil  fauna ได้แก่กลุ่มสัตว์ที่มีขนาดตั้งแต่ 2 มิลลิเมตรขึ้นไป จึงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

  • Meso soil fauna ได้แก่กลุ่มสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่า 2 มิลลิเมตรลงไป จึงอาจะเห็นได้ค่อนข้างยากด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยดูด้วยกล้องจุลทรรศน์

          ในการศึกษาชนิดและปริมาณของสัตว์เล็กๆ พวกนี้ โดยเฉพาะในบริเวณป่าที่ไม่รกทึบมากนัก เราจะกำหนดแปลงศึกษาเป็นแปลงขนาด 40 x 40 ตารางเมตร อีก 3 จุดภายในแปลงดังกล่าว โดยการปักหมุด 4 หมุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง-ยาว ด้านละ 1 เมตร แล้วขึงด้วยเชือกเพื่อให้เกิดขอบเขตอย่างชัดเจน เมื่อเรียบร้อยแล้ว ให้นั่งนอกวงเชือกอย่างสงบ แล้วใช้พลั่วมือค่อยๆ คุ้ยเขี่ยใบไม้บนพื้นดินออกทีละน้อย ในเวลาเดียวกันก็คอยสอดส่ายสายตา ว่ามีสัตว์หรือแปลงอะไรบ้าง บันทึกชนิดและจำนวนของสัตว์ที่พบ ถ้ายังไม่ทราบชนิดก็ให้เก็บใส่ขวด ดองด้วย 70 % แอลกอฮอล์ เพื่อนำไปศึกษาในห้องปฏิบัติการต่อไป
          ในการศึกษาในแต่ละจุด จะต้องใช้เวลาตรวจสอบอย่างน้อย 30 นาที และผู้ศึกษาต้องเงียบและมีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด มิฉะนั้นแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวเงียบ ไม่ออกมาให้เห็น นี่เป็นการศึกษาพวก
macro soil fauna ส่วน meso soil fauna นั้น จะมีขนาดเล็กเกินกว่าจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า และส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ภายในดิน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขุดดินจากจุดศึกษา คราวนี้จะกำหนดกรอบเล็กลงคือ จุดที่จะขุดจะมีขนาด 25 x 25 ตารางเซนติเมตร ใช้พลั่วมือขุดให้ลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร ให้ได้น้ำหนักดินประมาณ 2 กิโลกรัม ใส่ดินนั้นลงไปในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น น้ำไปไล่ meso soil fauna ออกจากดิน โดยอาศัยเครื่องมือที่มีชื่อเรียกว่า Barlese funnel ซึ่งจะมีรูปร่างคล้ายกรวย ทำด้วยโลหะ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-7 นิ้ว สูงประมาณ 8 นิ้ว มีตะแกรงโลหะที่มีรูถี่ ขนาด 2 มิลลิเมตร วางที่ก้นกรวย เพื่อกันมิให้ดินไหลออกไป นำดินจากถุงใส่ลงในกรวยทั้งหมด แล้วปิดฝา ใต้ฝาที่ปิดนี้จะติดหลอดไฟฟ้าขนาด 25-40 วัตต์ นำขวดปากกว้าง พอที่จะรองรับส่วนปลายของกรวยได้ ใส่ 70 %  แอลกอฮอล์ไปรองรับไว้ แล้วเปิดไฟส่องเป็นเวลานาน 5-7 วัน แสงและความร้อนจากหลอดไฟฟ้าจะทำให้สัตว์ในดินหนี และมุดดินลึกลงไปยิ่งดินด้านบนแห้งลงไปมากเท่าไร สัตว์ก็จะมุดลึกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านตะแกรงและตกลงไปในขวดแอลกอฮอล์ที่รองรับอยู่ จากนั้นจึงนำไปศึกษาชนิดและจำนวนของสัตว์ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ต่อไป