หน้า  1   2   3   4   5

-2-

อ่านหน้าต่อไ

 
 
   

          1.3  ป่าดิบเขา ( hill evergreen forest  )  ถือเอาป่าที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไปที่มีกระจัดกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ ของประเทศ  มีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,500 - 2000 มม.ต่อปี  พรรณไม้หลักค่อนข้างจำกัด เข่น ก่อชนิดต่างๆ ทะโล้ ยมหอม กำลังเสือโคร่ง นางพญาเสือโคร่ง ดูช้างย้อย สนสามพันปี มะขามป้อมดง  พญาไม้ พญามะขามป้อมดง  สนแผง กุหลาบป่า ผสมปนกันไป ตามต้นไม้จะมีพวกไลเคน และมอสส์หรือตะไคร่น้ำเกาะอยู่ ผิวหน้าดินพร้อมความโอชะของดินมักจะถูกนำพาโดยน้ำฝนได้ง่าย ไปทับถมกันอยู่ตามหุบเขาและกระจายไปสู่ที่ราบลุ่มตามกระแสน้ำไหล พืชชั้นล่างจะมีพวกผักกูดหรือเฟิร์นและไผ่ชนิดต่างๆ กระจายอยู่ทั่วไป ป่าดิบเขาไวต่อการเปลี่ยนแปลงมาก หากถูกทำลายมักมีโอกาสเปลี่ยนเป็นป่าสนหรือป่าหญ้าได้ง่ายและตามโอกาส ถ้าหากทิ้งไว้จะค่อยๆ คืนสู่สภาพ โดยมีพวก ก่อ ทะโล้ และสารภีดอย เข้ามาเป็นแนวหน้า แต่ค่อนข้างช้ามาก
          1.4  ป่าสน (
 pine forest  )  มักกระจายเป็นหย่อมๆ ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 200 - 1,600  เมตร (ที่จังหวัดประจวบฯ สูงประมาณ 30 เมตร ) ปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,000 - 1,500 มม.พรรณไม้ที่ขึ้นมีไม่มากชนิด และมีสนสองใบกับสนสามใบเป็นหลัก นอกนั้นก็มีพวกไม้เหียง พลวง ก่อ กำยาน เหมือด ฯลฯ มีปุ๋ยและความโอชะของดินและมวลชีวภาพน้อย ดินเป็นกรดอ่อนๆ พืชชั้นล่างมักเป็นพวกหญ้าต่างๆ และพืชกินแมลงบางชนิด เป็นต้น ป่าประเภทนี้หากถูกทำลายจะกลายเป็นป่าหญ้าเป็นส่วนใหญ่ การฟื้นตัวยากมาก โดยธรรมชาติป่าประเภทนี้จะต่อสู้กันระหว่างป่าดิบเขากับป่าสน
          1.5  ป่าพรุหรือป่าสนุ่น (
peat swamp forest  ) เป็นป่าตามที่ลุ่มและมีน้ำขังอยู่เสมอ พบกระจายทั่วๆไป และพบมากทางภาคใต้ ระดับเดียวกับน้ำทะเลเป็นส่วนมาก ปริมาณน้ำฝนระหว่าง 2,300 - 2,600 มม. ต่อปี เป็นป่าอีกประเภทหนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก เท่าที่มีการสำรวจมีไม่น้อยกว่า 470 ชนิด และจำนวนนี้เป็นชนิดที่พบครั้งแรกของประเทศถึง 50 ชนิด พันธุ์ไม้หลักมีพวก มะฮัง สะเตียว ยากาตารา อ้ายบ่าว หว้าน้ำ หว้าหิน ช้างไห้ ตังหน ตีนเป็ดแดง จิกนม ตะเคียนราก หงอนไก่ ชุมแสง เที๊ยะ กันเกรา ฯลฯ ผิวและใต้ดินประกอบไปด้วยซากที่ยังไม่สลายของอินทรีย์วัตถุและซากพืช บางทีสะสมกันนานถึง 10 เมตร ดินชั้นล่างเป็นกรด ส่วนหน้าดินตามปกติเป็นกรดอย่างอ่อนๆ ที่พืช สัตว์ สามารถอยู่ได้ พืชชั้นล่างจะเป็นพวก ปาล์ม เช่น หลุมพี ค้อ หวายน้ำ ขวน ปาล์มสาคู หมากแดง รัศมีเงิน กระจูด เตยต่างๆ ป่าประเภทนี้ถ้าถูกทำลายลงในครั้งแรกจะพยายามปรับตัวเองคืนสภาพ โดยมีไม้มะฮัง หว้าหิน หว้าน้ำ เข้ามาทดแทนในโอกาสแรก แต่ถ้าถูกทำลายซ้ำซาก ไม้เสม็ดขาวจะเข้ามาแทนที่ กลายเป็นป่าบึงน้ำจืดต่อไป โอกาสที่จะกลายเป็นป่าพรุอีกนั้นยากมาก
          1.6  ป้าบึงน้ำจืด (  fresh-water swamp forest  )  เป็นป่าที่มีน้ำท่วมขังในบางช่วงหรือขังตลอดปี มักพบกระจายทั่วไปทุกภาค พบมากทางภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 10-500 เมตร ปริมาณน้ำฝน 1,500-2,000 เมตร ต่อปี พรรณไม้หลักจะมี เสม็ดขาว ซึ่งบางทีเกือบเป็นชนิดเดียวล้วน ไม้อื่นมี สะแก จิก กระทุ่มน้ำ กระเบาน้ำ หว้าน้ำ สนุ่น ชุมแสง ไทรบางชนิด โสกน้ำ ข่อย เป็นต้น พืชชั้นล่างเช่น ผักบุ้ง แพงพวย บัว โสน และพืชน้ำต่างๆ  เป็นป่าที่มีการบุกรุกจากมนุษย์เพื่อใช้เป็นที่ทำกินและอยู่อาศัย เพราะดินอุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุมาก และเป็นที่ราบ เหมาะแก่การปลูกพืชเกษตร และอาจตื้นเขินตามธรรมชาติ จะมีพวกพืชป่าดิบชื้นเข้ามาทดแทนเป็นส่วนใหญ่ต่อไป

     
ป่าดิบเขา   ป่าสน  ป่าบึงน้ำจืด