ถาม :
การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์เริ่มขึ้นอย่างไร
ตอบ
:
คำถามนี้ถ้าจะตอบให้ถูกต้องชัดเจน คงจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง
จึงขอสรุปสั้นๆ ว่า การวาดภาพแนวนี้มีมากว่า 2000 ปีแล้ว
ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก
ทางตะวันตกมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ กรีก โรมันโบราณ
รูปวาดทางพฤกษศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดพบที่ผนังวัดที่เมืองคานัก (Kanak)
ในประเทศอียิปต์ ซึ่งได้บันทึก วาดภาพืชไว้ถึง 275 ชนิด
งานนี้วาดราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนใหญ่งานในช่วงแรกๆ
จะเป็นการบันทึกพืชที่เป็นสมุนไพร คือใช้เป็นยารักษาโรค งานต่างๆ
พระจะเป็นผู้แปลและเก็บรวบรวมเย็บเป็นเล่ม (Folio)
ไว้ตามวัด
ส่วนใหญ่จะวาดลงบนกระดาษหรือหนังสัตว์ขัดมันที่เรียกว่า "เวลุ่ม" (Vellum)
ซึ่งมักทำมาจากหนังแพะหรือหนังแกะ
ในยุโรปงานแขนงนี้
ถือเป็นศาสตร์ที่แพร่หลายจริงๆ ในราวศตวรรษที่ 16
งานสำคัญซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมีอาทิเช่น งานของ
Leonardo da Vinci และ
Albert Durer ต่อมาในศตวรรษที่ 16 ปารีส
ได้เป็นจุดศูนย์กลางของการวาดภาพพฤกษศาสตร์ โดยมีพระเจ้าหลุยส์ที่
14 เป็นผู้จ้างช่างเขียนมาบันทึกพันธุ์ไม้
ช่างเขียนที่มีชื่อในราชสำนักยุคนี้คือ Nicolas
Robert (เขาวาดภาพราว 20 ภาพใน 1 ปี
โดยใช้สีน้ำวาดลงบนเวลุ่ม)
ช่วงนี้มีกลุ่มนักเดินทางผจญภัยไปในดินแดนโพ้นทะเลมากมายและมีการบันทึกการเดินทาง
อีกทั้งจ้างนักวาดภาพพฤกษศาสตร์ร่วมไปในการเดินทางด้วย
เพื่อบันทึกข้อมูลเสาะแสวงหา และวาดภาพพรรณไม้แปลกๆ
รวมทั้งนำเมล็ดและส่วนต่างๆ
ของพืชต่างถิ่นกลับมาศึกษาและเพาะพันธุ์
ศิลปินหญิงชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ
Maria Sibylla Merian ซึ่งบันทึกพรรณไม้มากมายจากซูลินัม
(Surinum)
ซึ่งอยู่ทางใต้ของอเมริกา
สมัยนั้นนักพฤกษศาสตร์มักเก็บข้อมูลพืชโดยการอัดแห้ง
เพราะสามารถทำได้ง่าย สะดวกแก่การวาดภาพ ในช่วงศตวรรษที่ 19
อังกฤษเป็นผู้นำในด้านการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
ทางฝรั่งเศสเองก็มีลูกศิษย์ของ Pierre Joseph
Redoute มาสานงานต่อ
ศิลปินท่านหลังนี้ได้ทำงานวาดรูปให้กับทั้งพระนางมารีอังตัวเนตและจักรพรรดินีโจเซฟิน
มีผลงานมากมายเป็นที่แพร่หลายมาก งานที่สำคัญที่สุด 2 เล่ม ก็คือ
Les Lilacess (1802-1816)
และ Les Roses (1817-1824)
จากนั้นมาจนถึงปัจจุบันก็มีศิลปินอีกหลายท่านจากสถาบันต่างๆ
ทั้งในอังกฤษ เยอรมัน ออสเตรีย ฝรั่งเศส
ที่สร้างงานมากมายอย่างต่อเนื่อง
โดยมีสวนพฤกษศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ สมาคมพฤกษศาสตร์ต่างๆ
ราชสำนัก และคหบดีเป็นผู้ให้การสนับสนุน
ส่วนทางโลกแถบตะวันออก
หรือทางเอเชีย
การวาดเก็บข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ก็เริ่มมีขึ้นที่ประเทศจีน
สมัยลัทธิเต๋า ราว 2000 ปีก่อนคริสตกาล
เอกลักษณ์สำคัญของทางเอเชียนี้คือการวาดแบบพู่กันจีน
โดยใช้หมึกดำที่ได้จากต้นสนวาดลงบนกระดาษสาไม่เติมสีอื่นๆ
มีการพบงานดอกไม้ที่วาดในราชวงศ์ถัง (Tang)
ราว 618-906 ปีก่อนคริสตกาล และราชวงศ์ซุ่ง (Soong)
ราว ค.ศ. 960-1279
การวาดภาพจากธรรมชาติก็เป็นที่แพร่หลายไปถึงประเทศญี่ปุ่น
โดยพระสอนศาสนาพุทธ ในราว 540 ปี ก่อนคริสตกาล
ได้มีการรู้จักศิลปะนี้อย่างแพร่หลาย ในราวศตวรรษที่ 14
โดยส่วนใหญ่เป็นงานของพระในลัทธิเซน (Zen)
ซึ่งได้มีการบันทึกพรรณไม้ที่ใช้ในการรักษาโรคของมนุษย์และของม้าอีกทั้งทางการเกษตร
และพรรณไม้ในป่าตามท้องถิ่นต่างๆ
หลังจากที่วัฒนธรรมตะวันสตกมาแพร่หลายในญี่ปุ่นราว ค.ศ.1867
การวาดภาพแขนงนี้พบว่าเจริญรุ่งเรืองในช่วงที่กษัตริย์ราชวงศ์โมกุล
(Mughal Empire)
มีอำนาจ เมื่อหมดอำนาจลง ช่างวาดทั้งหลายก็มาทำงานให้กับ
East Asia Company
ซึ่งเป็นบริษัทของอังกฤษ มีงานบันทึกดีๆ มากมาย
เป็นงานวาดภาพที่ควบคุมโดยช่างเขียนศิลปินชาวอังกฤษ
แต่ช่างวาดเป็นชาวอินเดียท้องถิ่นจากแถวกัลกัตตา งานพฤกษศาสตร์
แบบเดียวกันใช่วงนี้ก็พบในจีนตอนใต้
(ตามเมืองท่าที่มีชาวต่างชาติมาติดต่อค้าขายด้วย)
คือช่างวาดเป็นชาวจีนแต่วาดเป็นแบบฝรั่ง
โดยฝรั่งเป็นผู้ว่าจ้างเพื่อนำไปเผยแพร่ทางตะวันตก
สรุปสั้นๆ
ได้ว่าแต่เดิมนั้นทางตะวันตกเน้นทางความถูกต้องเชิงวิทยาศาสตร์
ส่วนทางตะวันออกเราเน้นในเชิงปรัชญา
คนทางตะวันออกเราจะดูอะไรลึกซึ้ง
แล้วเอาตัวของมนุษย์อิงเข้าไปกับธรรมชาติ
แต่ทางตะวันตกเขาจะเอาธรรมชาติเข้ามาอยู่กับมนุษย์
ดูอย่างเช่นรูปวาดนะคะ รูปวาดทางตะวันตกนี่การวางภาพจะอยู่ตรงกลาง
มีความสมดุลย์ซ้ายขวา กรอบรูปก็จะเท่ากันทุกด้าน ส่วนทางตะวันออก
ความสมดุลย์จะไม่เท่ากันเหมือนธรรมชาติที่มักมีความหลากหลาย
แม้แต่ที่ว่างเปล่าๆ บนภาพ ก็ชวนให้ผู้ชมงานคุยด้วย
หรือมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างจินตนาการ เช่น
รูปภาพของจีที่ใช้หมึกดำทำจากสนบนกระดาษสา
แม้แต่กรอบข้างบนก็จะใหญ่ถือว่าเป็นท้องฟ้า
ส่วนตรงกลางที่มีรูปภาพเป็นศิลปะซึ่งเกิดจากมนุษย์จะเล็กกว่าและส่วนล่างของรูปจะมีเนื้อหาน้อยกว่าส่วนบน
ถือว่าเป็นเสมือนพื้นดิน ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า
Asymmetric คือไม่เท่ากัน
ธรรมชาติไม่สร้างอะไรให้เหมือนกันหมด ลองเอาใบไม้มาดูทั้งสวน
ทั้งโลก จะหาเหมือนกันทุกอย่างทั้งสีสัน สัดส่วน
และรายละเอียดนั้นไม่มี
การวาดภาพและความคิดทั้งทางตะวันตกและตะวันออกน่าสนใจทั้งคู่ค่ะ
ควรศึกษาและหารูปแบบเฉพาะของตัวเองให้ได้
ในปัจจุบันการวาดภาพชนิดนี้กลับมาเป็นที่นิยมกันมาก
แม้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว
แต่อาจเป็นเพราะยิ่งวัตถุพัฒนาไปเร็วเท่าไร
มนุษย์ก็หันกลับมามองหาและให้ความสำคัญกับงานที่สร้างโดยอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เองมากขึ้น |