ปะการัง (coral)
เป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ประกอบด้วยตัวปะการังซึ่งเรียกว่า
"โพลิป" (polyp)
ซึ่งมีลักษณะไม่ซับซ้อนอยู่รวมกันเป็นโคโลนี (colony)
ปะการังมีลำตัวนิ่ม มีหนวด (tentacle)
ที่มีส่วนปลายเป็นเข็มยื่นออกมาใช้ในการจับเหยื่อที่เป็นตัวอ่อนของสัตว์ต่างๆ
ที่ล่องลอยในน้ำเป็นอาหาร ปะการังสร้างชั้นหินปูนเคลือบลำตัว
จึงมีโครงสร้างภายนอกแข็งแรง
ซึ่งทำให้แตกต่างจากดอกไม้ทะเลที่เป็นสัตว์ทะเลที่มีลักษณะพื้นฐานอื่นคล้ายคลึงกัน
โครงสร้างแข็งของปะการังจะขยายขนาดขึ้นโดยการแตกหน่อของโพลิป
ทั้งนี้ ปะการังบางชนิดที่มีขนาดใหญ่สามารถเติบโตถึง 500 ปี
และอาจมีจำนวนโพลิปนับล้านล้านตัว
ปะการัง
สามารถสืบพันธุ์ได้ 2 แบบ คือ แบบอาศัยเพศ และแบบไม่อาศัยเพศ
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเกิดขึ้นเมื่อปะการังเติบโตเต็มที่
โดยทำการปล่อยไข่และเสปิร์มออกมาผสมกันในน้ำ
เกิดเป็นตัวอ่อนที่เรียกว่า "พลานูลา" (planula)
ตัวอ่อนเหล่านี้จะล่องลอย
ไปตามกระแสน้ำจนกว่าจะลงเกาะในพื้นแข็งที่เหมาะสม
ซึ่งอาจะเป็นก้อนหินหรือซากปะการัง และเจริญเติบโตเป็นปะการังต่อไป
สำหรับการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ จะเป็นการแตกหน่อและขยายโคลนีไปตามรูปร่างลักษณะของปะการังแต่ละชนิด
|
ลักษณะของปะการังแตกต่างกัน
เนื่องจากลักษณะการเจริญเติบโตหรือการแตกหน่อที่แตกต่างกันในแต่ละชนิด
บางชนิดมีลักษณะเป็นก้อนตันคล้ายก้อนหิน เรียกว่า ปะการังก้อน
(massive coral)
บางชนิดมีการเติบโตรวมกันเป็นกระจุก แต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
เรียกว่า ปะการังกึ่งก้อน (submassive coral)
บางชนิดเติบโตและขยายไปตามลักษณะพื้นที่ที่ปกคลุม
เรียกว่า ปะการังเคลือบ (encrusting coral)
บางชนิดเติบโตเป็นกิ่งก้าน แตกแขนงคล้ายกับเขากวาง
เรียกว่า ปะการังกิ่งก้าน (branching coral)
บางชนิดมีลักษณะเป็นแผ่นรวมกันเป็นกระจุกแบบใบไม้หรือผัก เรียกว่า
ปะการังกลีบซ้อน (foliaceous coral)
บางชนิดมีลักษณะเป็นแผ่น
มีการขยายออกไปในแนวราบคล้ายจานหรือโต๊ะ
และอาจมีการซ้อนกันเป็นชั้นๆ เรียกว่า ปะการังแผ่น (tabulate
coral)
และบางชนิดมีลักษณะเป็นก้อนเดี่ยวคล้ายดอกเห็ด เรียกว่า
ปะการังดอกเห็ด (mushroom coral)
ซึ่งแต่ละส่วน |
เล็กๆ ของปะการังที่เติบโตหรือแตกหน่อเพิ่มขึ้นนั้นจะเป็นส่วนของโพลิปที่มีขนาดเล็ก
ประมาณ 1 ถึง 2 มิลลิเมตร เป็นจำนวนมาก
นอกเหนือจากรูปร่างที่หลากหลายสีสันและความงดงามของปะการังก็มีความแตกต่างไม่แพ้กัน
เหมือนดังประติมากรรมธรรมชาติที่ยากต่อการลอกเลียนแบบใต้ท้องทะเล |
ปะการังต้องการแสงเนื่องจากภายในเนื้อเยื่อของปะการังมีสาหร่ายเซลล์เดียวที่เรียกว่า
"ซูโอแซนแทลลี่" (zooxanthallae)
จำนวนหลายล้านตัวอาศัยอยู่
และสาหร่ายเหล่านี้ต้องการแสงและคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์ด้วยแสง
โดยผลผลิตที่ได้ คือ
น้ำตาลและออกซิเจนจะถูกปะการังใช้ประโยชน์เพื่อเติบโต
ซึ่งเป็นตัวอย่างของการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างสัตว์และพืชที่ทั้งคู่ต่างได้รับประโยชน์
นอกจากนี้สาหร่ายเหล่านี้ซึ่งมีสีแตกต่างกันไปยังเป็นแหล่งของสีสันที่งดงามของปะการัง
ปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รูปร่างของปะการังแตกต่างกันได้แก่
คลื่นและกระแสน้ำ
บริเวณน้ำตื้นหรือใกล้ฝั่งเป็นบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากคลื่นและกระแสน้ำรุนแรง
ทำให้ปะการังที่พบในเขตนี้มีรูปลักษณะที่ทนทานต่อสิ่งเหล่านี้ได้
เช่น ปะการังก้อน ในขณะที่ในเขตที่น้ำลึกกว่า
จะพบปะการังที่มีรูปร่างบอบบางและแตกหักง่าย
ปะการังที่พบโดยทั่วไปมีพัฒนาการของการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มปะการังหรือเป็นแนวปะการัง
ซึ่งสามารถสังเกตได้จากการสะสมของหินปูนที่เกิดจากปะการังที่ตายทับถมกัน
แนวปะการังนี้เกิดจากการขยายพื้นที่ของปะการังชนิดต่างๆ
ทั้งขนาดเล็กหรือใหญ่
ทั้งนี้ไม่ว่าปะการังจะมีความทนทานต่อคลื่นและกระแสน้ำหรือจะบอบบางแตกหักง่ายเพียงใด
เมื่อปะการังตาย
โครงสร้างแข็งของปะการังก็จะแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกลายเป็นทรายในที่สุด
ทรายสีขาวเหล่านี้ซึ่งเกิดจากหินปูนปะการังที่บริสุทธิ์
จะถูกคลื่นพัดพาขึ้นมาสู่ชายหาด
อันเป็นลักษณะเฉพาะของหาดทรายปะการัง
หรือเป็นส่วนหนึ่งของเกาะปะการัง ดังนั้น ปะการัง
จึงไม่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับแนวปะการังเท่านั้น
แต่ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศอื่นๆ
อีกมากมาย |
|
|
|
|
|
|
|
|