|
พันธุกรรม
คืออะไร?
พันธุกรรม
(Heredity) หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะต่างๆ
ของสิ่งมีชีวิตจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (Generation) เช่น
รุ่นพ่อแม่ถ่ายทอดลักษณะต่างๆลงไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน
โดยมีการเริ่มต้นการศึกษาเรื่องพันธุกรรม (Heredity)โดย เกรเกอร์
เมนเดล (Gregor Mendel)
เป็นผู้ที่ค้นพบและอธิบายหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม (Heredity)
ในช่วงกลางของทศวรรษที่ 18
พันธุกรรม (Heredity)เป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีลักษณะต่างๆแตกต่างกันไปมากมาย
โดยมีหน่วยควบคุมที่เรียกว่า ยีน (Gene) ซึ่งยีน (Gene) แต่ละยีน (Gene)
ก็จะมีหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม (Heredity) ลักษณะหนึ่งๆไป
มีทั้งยีน (Gene) ที่ควบคุมลักษณะเด่น และยีน (Gene)
ที่ควบคุมลักษณะด้อย
แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ลักษณะเราแตกต่างออกไปคือสภาพแวดล้อม เช่น
ความอ้วน อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมมากกว่าพันธุกรรม (Heredity)
โครโมโซม
(chromosome) คืออะไร?
โครโมโซม (chromosome)เป็นที่อยู่ของหน่วยพันธุกรรม
ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดข้อมูล เกี่ยวกับ
ลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ลักษณะของเส้นผม
ลักษณะดวงตา เพศ และผิว
การศึกษาลักษณะโครโมโซม
จะต้องอาศัยการดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่กำลังขยายสูงๆ จึงจะสามารถ
มองเห็นรายละเอียดของโครโมโซมได้
หน่วยพันธุกรรม หรือ ยีน ( Gene )ปรากฏอยู่บนโครโมโซม
ประกอบด้วยดีเอ็นเอ ทำหน้าที่กำหนดลักษณะ ทางพันธุกรรมต่าง ๆ
ของสิ่งมีชีวิต หน่วยพันธุกรรม จะถูกถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิต
รุ่นก่อนหน้าสู่ลูกหลาน เช่น ควบคุมกระบวนที่เกี่ยวกับกิจกรรมทั่ว
ๆ ไปทางชีวเคมีภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
ไปจนถึงลักษณะปรากฏที่พบเห็นหรือสังเกตได้ด้วยตา เช่น
รูปร่างหน้าตาของเด็กที่มีบางส่วนเหมือนกับแม่, สีสันของดอกไม้,
รสชาติของอาหารนานาชนิด
ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่บันทึกอยู่ในหน่วยพันธุกรรมทั้งสิ้น
ดีเอ็นเอ (DNA)
คืออะไร?
ดีเอ็นเอ (DNA)
เป็นชื่อย่อของสารพันธุกรรม
มีชื่อแบบเต็มว่า กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (Deoxyribonucleic acid)
ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิก (กรดที่พบในใจกลางของเซลล์ทุกชนิด)
ที่พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ได้แก่ คน (Haman), สัตว์ (Animal),
พืช (Plant), เชื้อรา (Fungi), แบคทีเรีย (bacteria), ไวรัส (virus)
( ไวรัส จะไม่ถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตเป็นเพียงอนุภาคเท่านั้น)
เป็นต้น ดีเอ็นเอ (DNA)
บรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นไว้
ซึ่งมีลักษณะที่ผสมผสานมาจากสิ่งมีชีวิตรุ่นก่อน ซึ่งก็คือ
พ่อและแม่ (Parent) และสามารถถ่ายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตรุ่นถัดไป
ซึ่งก็คือ ลูกหลาน (Offspring)
ดีเอ็นเอ (DNA)
มีรูปร่างเป็นเกลียวคู่ คล้ายบันไดลิงที่บิดตัวทางขวา
หรือบันไดเวียนขวา
ขาหรือราวของบันไดแต่ละข้างก็คือการเรียงตัวของนิวคลีโอไทด์ (
Nucleotide ) นิวคลีโอไทด์เป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วยน้ำตาล (
Deoxyribose Sugar ), ฟอสเฟต ( Phosphate )
(ซึ่งประกอบด้วยฟอสฟอรัสและออกซิเจน) และไนโตรจีนัสเบส (Nitrogenous
Base) เบสในนิวคลีโอไทด์มีอยู่สี่ชนิด ได้แก่ อะดีนีน (adenine, A)
, ไทมีน (thymine, T) , ไซโทซีน (cytosine, C) และกัวนีน (guanine,
G) ขาหรือราวของบันไดสองข้างหรือนิวคลีโอไทด์ถูกเชื่อมด้วยเบส
โดยที่ A จะเชื่อมกับ T ด้วยพันธะไฮโดรเจนแบบพันธะคู่ หรือ double
bonds และ C จะเชื่อมกับ G ด้วยพันธะไฮโดรเจนแบบพันธะสามหรือ
triple bonds (ในกรณีของดีเอ็นเอ)
และข้อมูลทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ
เกิดขึ้นจากการเรียงลำดับของเบสในดีเอ็นเอนั่นเอง
ผู้ค้นพบดีเอ็นเอ คือ ฟรีดริช มีเชอร์ ในปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869)
แต่ยังไม่ทราบว่ามีโครงสร้างอย่างไร จนในปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953)
เจมส์ ดี. วัตสัน และฟรานซิส คริก เป็นผู้รวบรวมข้อมูล
และสร้างแบบจำลองโครงสร้างของดีเอ็นเอ (DNA Structure Model)จนทำให้ได้รับรางวัลโนเบล
และนั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
โครงสร้างของดีเอ็นเอ (Structure
of DNA)
แหล่งในการเก็บข้อมูลทางพันธุกรรม (genetic information)
ของสิ่งมีชีวิตคือกรดนิวคลีอิกชนิดดีเอ็นเอ (DNA,deoxyribonucleic
acids) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ 2 คน ชื่อ Watson และ Crick
ได้เสนอแบบจำลองโครงสร้างดีเอ็นเอเป็นสายโพลีนิวคลีโอไทด์ (polynucleotide)
2 สายพันกันเป็นเกลียวเวียนขวาเรียกว่า เกลียวคู่ (double helix)
แต่ละสายประกอบด้วยหน่วยย่อยของนิวคลีโอไทด์ที่เชื่อมต่อกันด้วยพันธะฟอสโฟไดเอสเทอร์
(phosphodiester bond) ระหว่างหมู่ไฮดรอกซี่ (OH group)
ที่คาร์บอนตำแหน่งที่ 3 ของน้ำตาลตัวแรกและหมู่ฟอสเฟต (phosphate
group) ที่คาร์บอนตำแหน่งที่ 5 ของน้ำตาลตัวถัดไป
โดยพบว่าสายโพลีนิวคลีโอไทด์ทั้งสองสายนี้จะพันกันในลักษณะวิ่งสวนทางตรงกันข้ามกัน
(antiparallel)
และถ้าดีเอ็นเอเป็นสายปลายเปิด (open-end linear strand)
ที่ปลายสายของดีเอ็นเอแต่ละข้างจะพบปลาย 3-OH (hydroxy group)
ของสายหนึ่งและปลาย 5-OH (phosphate group) ของอีกสายหนึ่งเสมอ |