|
ในเต๊นท์และเรือที่ประทับท่ามกลางธรราชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
จังหวัดอุทัยธานี (23-24 เมษายน 2536), อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรี (14-15 สิงหาคม 2537) , อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
จังหวัดเลย (19 ธันวาคม 2537) , หน่วยจัดการต้นน้ำแม่กก ห้วยหมากเลี่ยม
จังหวัดเชียงราย (30 มกราคม 2538), อุทยานแห่งชาติทะเลบัน จังหวัดสตูล
(27 กันยายน 2538), อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์-หมู่เกาะสิมิลัน
จังหวัดพังงา (11-12 พฤศจิกายน 2539) และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
จังหวัดเลย (19 มิถุนายน 2540)
พระองค์ทรงมีรับสั่งกับบรรดาพระสหายและผู้ติดตามอยู่เสมอว่า
ทรงโปรดศึกษาพรรณไม้และป่าไม้เพราะต้นไม้ไม่หนีไปไหน
ไม่เหมือนกับสัตว์ป่าที่ชอบหลบซ่อนตัว
ในการเสด็จป่าบ่อยครั้งจะเห็นพระองค์ทรงพลิกใบไม้ไปมาเพื่อทอดพระเนตรอย่างพินิจพิเคราะห์
ทรงมานะบากบั่นด้วยความยากลำบากตรากตรำพระวรกาย
มิได้ทรงย่อท้อต่ออุปสรรคภยันตรายจากสภาพป่าที่รกชัฎ ภูเขาที่สูงลาดชัน
โขดหินที่ลื่นตามธารน้ำตกและตัวทาก
โดยที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ ทรงนำความรู้ภาษาละตินมาใช้ในการศึกษาพฤกษศาสตร์จำแนกพวก
(systematic botany)
ในการเรียกชื่อวิทยาศาสตร์พืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประกอบกับพระอุปนิสัยที่ช่างสังเกตจดจำสิ่งต่างๆ
ที่ทอดพระเนตรได้อย่างแม่นยำ
พระองค์จึงทรงเพิ่มพูนประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
นอกจากจดบันทึกชื่อพืช ลักษณะ ประโยชน์และโทษของพืช
ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินในป่าแล้ว
พระองค์จะทรงร่างภาพพรรณไม้ที่น่าสนใจเป็นพิเศษประกอบอีกด้วย
นอกจากพระปรีชาสามารถในการจำแนกพรรณพืชแล้ว ยังทรงสนพระทัยและเชี่ยวชาญในพฤกษศาสตร์สาขาอื่นๆ
ได้แก่ พฤกษภูมิศาสตร์ (plant geography)
พฤกษนิเวศ (plant ecology)
พฤกษศาสตร์เศรษฐศาสตร์ (economic botany)
และพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน (ethnobotany)
ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่ตีพิมพ์ออกมาเป็นระยะๆ
ภายหลังจากการเสด็จพระราชดำเนินป่า
และเสด็จทอดพระเนตรหอพรรณไม้และสวนพฤกษศาสตร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บางตอน เช่น
"...บริเวณที่เราเดินกันนี้
มีต้นสนสองใบมากเพราะเป็นเขตหินทราย สนไม่ชอบขึ้นในเขตหินปูน
(ภูมิประเทศแบบ Karst
ซึ่งจะมีความหลากหลายในพันธุ์หรือ biodiversity
สูงกว่า)
เข้าใจว่าต้นไม้ดั้งเดิมของป่าดิบจะถูกตัดไปหมดแล้วประมาณกว่าร้อยปี
ต้นแปก (สนสองใบ) เป็นไม้ที่ขึ้นทดแทน อายุประมาณ 50-60 ปี
ขณะนี้เขาก็ทำไม้แปกกัน แต่ยังมีการปลูกทดแทน ต้นแปกจะเติบโตได้ดีต้องมีการ
"รบกวน" คือมีไฟป่าหรือมนุษย์ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
ไม้ป่าดิบคือพวกไม้ใบกว้างจะเจริญเติบโตรุกข้ามา ต้นแปกขยายพันธุ์โดยเมล็ดที่ร่วงลงมา
และต้องมีไฟไหม้ พื้นล่างของป่า เมล็ดจึงจะงอกและเติบโต
อีกอย่างหนึ่งต้องมีแดด
ถ้าไปขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของป่าไม้ดิบก็เติบโตไม่ได้
แต่เจอพืชหลายชนิดที่ไม่เคยพบในไทย เห็นจะมีส่วน microclimate
ที่ต่างกัน เช่น เครือหัน Bauhinia
coccinea เสี้ยวเครือชนิดหนึ่ง ดอกใหญ่สีแดง
เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ประดับ ..."
(จาก "ม่วนชื่นเมืองลาว" ฉบับปกอ่อน เมษายน 2537 หน้า 263) |
|