สัตหีบ เป็นเมืองชายทะเลแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญตั้งแต่อดีตเนื่องจากความสมบูรณ์ของทะเลบริเวณนั้น
ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทำการประมงเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทะเลที่อุดมสมบูรณ์
แต่ปัจจุบันความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลลดลง
เนื่องจากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศซึ่งเกิดจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรปะการังทั้งทางตรงและทางอ้อม
เช่น
การจับปลาในแนวปะการังที่อาจทำให้ปะการังแตกหักเสียหาย
การขยายตัวของชุมชนในพื้นที่ชายฝั่งที่ส่งผลกระทบต่อรบบนิเวศปะการัง
เป็นต้น นอกจากนี้ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ
เช่น การเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวก็ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังเช่นกัน
เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่บริเวณสัตหีบเป็นพื้นที่ในความดูแลของกองทัพเรือ
กองทัพเรือจึงไม่สามารถปฏิเสธบทบาทที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรในทะเลได้
การขยายฐานทัพเรือสัตหีบเพื่อใช้เป็นฐานทัพหลักของกองทัพเรือมีความจำเป็นในการสร้างแนวกันคลื่นขึ้นบริเวณอ่าวสัตหีบ
ก่อให้เกิดแนวคิดและทำการย้ายปะการังบริเวณเกาะเตาหม้อ
รวมถึงบริเวณที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการสร้างแนวกันคลื่นดังกล่าว
เพื่อรักษาสภาพธรรมชาติไว้เท่าที่สามารถทำได้ในเวลานั้น
ปะการังกิ่งและปะการังก้อนจำนวนหนึ่งได้ถูกย้ายไปยังเกาะขามโดยใช้ซีเมนต์ติดกับอิฐบล็อกหรือแผ่นซีเมนต์
แต่สิ่งที่ปรากฎหลังจากนั้นคือ
เมื่อกองทัพเรือนำก้อนหินขนาดใหญ่ถมลงไปในทะเลบริเวณเกาะเตาหม้อเพื่อสร้างเป็นแนวกันคลื่นให้กับฐานทัพเรือสัตหีบนั้น
มีปะการังมากมายหลายชนิดเกิดขึ้นตลอดแนวกันคลื่นทั้งสองฝั่ง
ทั้งๆ
ที่บริเวณนั้นเป็นบริเวณที่มีตะกอนแขวนลอยเป็นจำนวนมาก
|
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้ร่วมในการศึกษาปะการังที่หมู่เกาะแสมสาร
เพื่อเป็นการสนองพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี
ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
โดยได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนการสำรวจวิจัยโดยตรงจากหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ
กองทัพเรือ
ในหัวข้อความหลากหลายของปะการังและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง |
การสำรวจในเบื้องต้น
เป็นการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของปะการังกับสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยในแนวปะการัง
โดยทำการสำรวจด้วยวิธีวางแนวสำรวจ (line
transect)
บริเวณแนวปะการังทั้งในแนวตั้งฉากและขนานกับชายฝั่ง
เพื่อการศึกษาถึงชนิดและการกระจายของปะการังรวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่น
รวมถึงการทำการประเมินความสมบูรณ์ของแนวปะการังหรือเปอร์เซ็นต์การปกคลุมพื้นที่ของปะการัง
หาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง
และการใช้ประโยชน์จากแนวปะการัง เช่น
ศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศปะการังจากการลดจำนวนประชากรลงของประชากรปลิงทะเลที่มีผลมาจากความต้องการในการบริโภคของมนุษย์ที่มากขึ้น
ตรวจติดตามการใช้ประโยชน์ของปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบริเวณแนวปะการังย้ายปลูก
เพื่อประเมินศักยภาพของปะการังย้ายปลูกในการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเมื่อเปรียบเทียบกับในแนวปะการังธรรมชาติ
เป็นต้น
การศึกษาในปัจจุบันเน้นในเชิงลึกด้านการฟื้นฟูแนวปะการัง
โดยอาศัยการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติแบบอาศัยเพศและเหนี่ยวนำให้เกิดการลงเกาะบนพื้นผิวที่กำหนดตามที่สังเกตจากการเกิดปะการังในแนวหินกันคลื่น
ก่อนที่จะนำไปอนุบาลให้มีขนาดโตขึ้นระดับหนึ่งที่แหล่งอนุบาลตัวอ่อนปะการัง
แล้วจึงนำไปปลูกในแนวปะการังที่เสื่อมโทรมหรือแนวปะการังที่ต้องการฟื้นฟูต่อไป
ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร
อย่างไรก็ตาม
การช่วยให้ธรรมชาติฟื้นฟู |
|
ตัวเองอาจทำให้เราได้รับผลลัพท์ที่ยั่งยืนกว่าในปัจจุบันก็เป็นได้
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า
ปะการังในพื้นที่สัตหีบโดยรวมอยู่ในสภาพสมบูรณ์ปานกลาง
มีแนวปะการังไม่มากนัก
ที่อยู่ในสภาพที่ดีเหมาะในการศึกษาเพื่อใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่อื่น
ปะการังส่วนใหญ่ที่พบ
ได้แก่ ปะการังเขากวาง
(
Acropora spp.)
ปะการังก้อน
(
Porites spp.)
ปะการังสมอง
(
Platygyra spp.
)
ปะการังลายลูกฟูก
(
Fungia spp.)
เป็นต้น
นอกจากปะการังแล้ว
บริเวณที่มีกระแสน้ำแรงและตะกอนมากพบกัลปังหาและแส้ทะเลหลายชนิด
โดยเฉพาะกัลปังหาที่พบในบริเวณนี้เป็นรายงานการพบครั้งแรกในอ่าวไทย
3 สกุล ได้แก่
Echinomuricea
, Menella
และ
Dichotella
และพบครั้งแรกในประเทศ 2
สกุล ได้แก่
Paraplexaura
และ
Guaiagorgia สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นที่เข้ามาอาศัยหรือใช้ประโยชน์
เช่น ปลา
พบกลุ่มปลาสลิดหิน (
Family Pomacentridae)
เป็นปลากลุ่มเด่นในแนวปะการัง
โดยเฉพาะปลาสลิดหินเล็ก (
Neopomacentrus cuneatus
)
และปลาสลิดหินเบงกอล
(
Abudefduf bengalenesis
)
ปลาชนิดอื่นที่พบก็เป็นกลุ่มปลาที่สามารถพบได้ทั่วไปในแนวปะการังของอ่าวไทย
ในส่วนของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่พบกระจายเป็นจำนวนมาก
ได้แก่ เม่นทะเล
ปลิงทะเลดำ
ซึ่งสะแดงให้เห็นว่า
บริเวณนั้นมีสาหร่ายและไดอะตอมที่เป็นอาหารของสัตว์ทั้งสองมากเช่นกัน
และพบดาวมงกุฎหนามซึ่งเป็นศัตรูของแนวปะการังอยู่ประปราย
การเรียนรู้เกี่ยวกับปะการังเป็นวิธีการหนึ่งที่จะนำไปสู่การอนุรักษ์และฟื้นฟูทะเล
ซึ่งปัจจุบันมีการนำวิธีการต่างๆ
มาใช้ในการฟื้นฟูแนวปะการังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่สำคัญก็คือ
การให้ความรู้แก่ชุมชน
โดยให้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาและการวิจัยเชิงลึก
ซึ่งเป็นการช่วยเสริมการรักษาปะการังให้คงอยู่ได้นานแสนนานตลอดไป. |
|