ลักษณะ :
ปาล์มน้ำมันจัดอยู่ในพืชตระกูลปาล์ม (
Palmae หรือ Recaceae ) ซึ่งมีอยู่ 3
ชนิดคือ
1. Elaeis guineensis ( african oil
palm )
2. Elaeis oleifera ( south american
oil palm )
3. Elaeis odora ( american oil palm
) ไม่มีรายงานความสำคัญทางเศรษฐกิจ
ทั้ง 3 ชนิดนี้ Elaeil guineensis
มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
ลักษณะของราก ลำต้น ใบ ( Vegetative
characters ) ราก
เกิดขึ้นตรงฐานโคนของลำต้นเป็นระบบแขนง
( adventitious root system )
แบ่งออกเป็นหลายชุดดังนี้คือ
รากชุดราก ( Primary root )
เกิดตรงโคนลำต้นมีขนาดใหญ่ที่สุด
ส่วนใหญ่เจริญตามแนวอาจจะยาวออกไปไกล
15-20 เมตร
อีกส่วนหนึ่งจะเจริญไปตามแนวลึก
จากรากชุดนี้จะมีการแตกแขนงจากรากชุดที่สี่จะลดตามลำดับ
รากชุดที่สามจะไม่มีขน
รากชุดที่สี่จะทำหน้าที่ดูดน้ำและธาตุอาหารแทน
ความหนาแน่นของรากจะพบในบริเวณรัศมีของพุ่มใบและลึกลงไปประมาณ
15 เซนติเมตร จากผิวดิน
การแผ่กระจากของรากจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมต่างๆ
จะพบรากพิเศษคือ รากอากาศ ( aerial
หรือ phneumathodes )
ตรงบริเวณโคนต้นทำหน้าที่ถ่ายเทอากาศระหว่างรากกับบรรยากาศด้วย
ลำต้น
มีลักษณะเป็นต้นเดี่ยวตั้งตรงรูปร่างทรงกระบอกมีเนื้อเยื่อเจริญเฉพาะตรงปลายยอด
2-3
ปีแรกจะช่วยในการเจริญเติบโตทางด้านกว้างจากนั้นแล้วจึงจะมีการเจริญทางด้านการสูงเรื่อย
ลำต้นมีข้อสั้นๆ เป็นที่เกิดของใบ
เวลาตัดทางใบจะเห็นตอใบเวียนรอบต้น
ต้นที่มีอายุมากเมื่อใบร่วงหล่นเองลำต้นจะเรียบ
ใบ ในภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
จะมีทางใบ (Frond) เกิดขึ้นที่รอบยอด
(crow)
และมีทางใบอ่อนที่กำลังพัฒนาจากเนื้อเยื่อเจริญปลายยอดอีก
ทางเดียวกันจะมีการสร้างประมาณเดือนละ
2 ทาง
การเจริญภายในแต่ละทางใบเป็นไปอย่างเชื่องช้าเกินเวลาร่วง
2 ปี จึงจะปรากฏให้เป็นยอดแหลม (spear)
ออกมาหลังจากนั้นก็เจริญอย่างรวดเร็ว
เมื่อทางใบหนึ่งคลี่จะมีทางใบถัดไปในรูปยอดแหลมเกิดขึ้นมาแทนเป็นลำดับทางใบคลี่แล้วจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงและอื่นๆ
ประมาณ 2 ปี
ทางใบจะประกอบด้วยแกนทางใบ
ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของระเบียบในแต่ละข้างของแกนทางใบ
(rachis) ก้านใบ (petiole)
ที่ริมทั้งสองข้างมี่หนาม ใบย่อย (leaflet)
เรียงอยู่ในลักษณะสองระดับเหลื่อมกันอย่างเป็นระเบียบในแต่ละข้างของแกนทางใบ
ทางใบปาล์มจะเรียงอยู่บนลำต้น
ระเบียบคือมีลักษณะเป็นเกลียวทั้งวนขวา
และวนซ้าย จะติดอยู่กับลำต้นหลายๆ ปี
ไม่หลุดออก จึงต้องมีการตัดแต่งทางใบ
ลักษณะของช่องดอก ผล เมล็ด
หรือส่วนสืบพันธุ์ (reproductive
character) ช่อดอก
เริ่มออกดอกเมื่อประมาณ 2-3 ปี
หลังจากปลูกลงในแปลง
ช่อดอกจะเกิดจากตาดอกซึ่งอยู่ตรงซอกโคนก้านใบทุกใบ
ดอกที่เกิดขึ้นมาใหม่จะถูกหุ้มด้วยกาบหุ้มช่อดอกจะเปิดออก
6-8 สัปดาห์
1. ช่อออกเพศผู้ ประกอบด้วยช่อดอกย่อย
(spikelet)
ที่มีลักษณะยาวเรียวคล้ายนิ้วมือ
เรียงอยู่บนแกนกลาง ช่อดอก
แต่ช่อดอกย่อยจะมีดอกตัวผู้เล็กๆ
เกิดโดยรอบ
เวลาบานจะเห็นเป็นสีเหลืองอ่อน
กลิ่นหอม จะบานออกจากโคนมายังปลาย 3-5
วันแล้วแต่สภาพแวดล้อม
หลังจากดอกบานเรียบร้อยแล้วช่อดอกย่อยเหล่านั้นจะมีราเกิดขึ้น
เห็นเป็นสีเทา ๆ ทั่วไป
2. ช่อดอกเพศเมีย เป็นแบบ spike หรือ
spadix ยาวประมาณ 24-45 เซนติเมตร
ประกอบด้วยช่อดอกย่อยซึ่งมีใบประดับที่ยาวปลายแหลม
(spinous bract)
เรียงเป็นเกลียวบนแกนช่อดอกใหญ่
ย่อยที่อยู่ตรงแกนจะมีดอกตัวเมียประมาณ
12-30 ดอก
และมีน้อยลงทางโคนและปลายแกนของช่อ
จะมีตัวเมียทั้งสิ้นหลายพันดอก
เมื่อดอกพร้อมที่จะผสม (receptive)
จะเห็นยอดเกสรตัวเมีย (stigma) ซึ่งมี
3 แฉก จะมีสีขาวหรือเหลืองอ่อน
แถบแดงเคลือบด้วยเมือกเหนียวๆ
เมื่อพ้นระยะนี้แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดอกตัวเมียแต่ละดอกจะมีรังไข่ที่แยกออกเป็น
3 พู (tricarpellary ovary)
แต่ส่วนใหญ่พัฒนาเป็นผลเพียงพูเดียว
3. ช่อดอกผสมหรือกะเทย
ช่อดอกประเภทนี้คือช่อดอกที่มีช่อดอกย่อยทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในช่อดอกเดียวกัน
เกิดขึ้นในบ้างโอกาสเท่านั้น
ช่อดอกย่อยเพศเพศเมียจะอยู่บริเวณส่วนกลาง
และช่อดอกย่อยเพศผู้จะอยู่ทางส่วนโคนและปรายของช่อดอกใหญ่
ช่อดอกประเภทนี้เป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์เพราะจะให้ผลผลิตต่ำ
ช่อดอกอาจจะเกิดการลีบหรือไม่พัฒนาเป็นดอก
(abortion)
ซึ่งมักจะปรากฏเมื่อปาล์มอายุน้อยเริ่มผลผลิตดอกใหม่ๆ
หรือบางกรณีที่มีการกระทบแล้งมากๆ
ที่จะมีผลต่อดอกที่กำลังพัฒนา
ผลและเม็ด
การสุกของผลจะช้าเร็วยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
เช่นถ้ามีฝนตกดีสม่ำเสมอตลอดปีผลจะสุกเร็ว
ปาล์มที่มีอายุเต็มที่แล้วสามารถจะให้ผลประมาณ
1,600 ผลต่อทะลายผลปาล์มเป็นแบบ drupe
ประกอบด้วยเปลือกชั้นนอก (exocarp)
เปลือกชั้นกลางหรือกาบ (mesocarp)
ซึ่งเป็นส่วนที่มีน้ำมันอยู่ทั้งสองส่วนเรียกรวมกันว่า
pericarp และมีชั้นในสุดเป็นกะลา (endocarp)
ถัดจากส่วนนี้ไปก็เป็นส่วนของเม็ดซึ่งประกอบด้วย
เนื้อในเมล็ด (kernel หรือ endosperm)
ซึ่งมีน้ำมันอยู่เช่นกัน และส่วนของคัพภะ
(embryo)
ผลและเมล็ดเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุดเพราะเป็นส่วนที่จะให้น้ำมัน
สีของผล
ผลของปาล์มน้ำมันโดยทั่วไปเมื่อยังอ่อนอยู่จะมีมีน้ำตาลดำ
เมื่อสุกจะมีสีแดง เนื่องจากมีรงควัตถุ
(carotenoid) อยู่ใน pericarp
ส่วนที่โคนผลจะไม่มีสี
ผลที่มีสีแบบนี้เรียกว่า nigrescens
แบ่งออกเป็น rubro-nitrescene
(สุกสีแดงตลอดผล) และ rutilo-nigrexcens
(สุกสีเหลืองอ่อน)น้ำมันที่สกัดออกมาจะมีสี
ในขบวนการผลิตจึงมีขั้นตอนการฟอกสีด้วย
ประเภทที่มีผลสีเขียวเวลายังไม่สุกและสีแดงอ่อน
เนื่องจากไม่มีรงควัตถุ exocarp
เรียกว่า virescens พบน้อย
อีกประเภทหนึ่งเวลาผลสุกจะไม่มีสีแดงเนื่องจากไม่มีสาร
carotenoid หรือมีน้อยใน mesocarp
น้ำมันที่สกัดจะไม่มีสี
ประโยชน์
:
น้ำมันปาล์มเกิดขึ้นจากผลปาล์ม 2 ส่วน
คือ จากเปลือกหุ้มภายนอก
และจากเนื้อในของเมล็ด
น้ำมันจากเปลือกของปาล์ม
ประกอบด้วยกรดไขมันที่อิ่มตัว
ประมาณร้อยละ ๕๒
และกรดไขมันไม่อิ่มตัว ร้อยละ ๔๘
ดังนั้น
จึงต้องนำน้ำมันดิบผ่านกรรมวิธีแยกกรดไขมันทั้งสองออกจากกัน
นำน้ำมันไม่อิ่มตัวไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิด
เช่น ใช้ ปรุงอาหาร ทำเนยเทียม
หรือมาการีน เนยขาว
เป็นส่วนผสมของนมข้นหวาน ไอศกรีม
และขนมอีกหลายชนิด
ส่วนที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวก็นำไปทำสบู่
ผงซักฟอก และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น
ๆ ส่วนน้ำมันเนื้อในของเมล็ดปาล์ม
ประกอบด้วยน้ำมันชนิดอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ
85 - 90 ทำให้ไม่เหมาะต่อการบริโภค
จึงนำไปใช้ ในอุตสาหกรรมทำสบู่
เครื่องสำอาง ผงซักฟอก อุตสาหกรรม |