โกงกางใบเล็ก

ชื่อวิทยาศาสตร์
 Rhizophora apiculata  Blume
วงศ์ :   Rhizophoraceae
ชื่ออื่น :
 โกงกาง (ระนอง), โกงกางใบเล็ก (ภาคกลาง), พังกาทราย (กระบี่), พังกาใบเล็ก (พังงา)

ลีกษณะ :  โกงกางใบเล็ก เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 20-30 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมาก มีเปลือกหนาประมาณ 1.5-3 ซม. เปลือกสีเทาเกือบเรียบ เมื่อทุบทิ้งไว้สักครู่ด้านในของเปลือกจะเป็นสีแสดอมแดงถึงแดงเลือดหมู กระพี้สีเหลืองอ่อน แก่นสีน้ำตาลแดง เนื้อไม้เป็นมันวาว น้ำหนักมาก (ความถ่วงจำเพาะ 1.04) เสี้ยนตรง (วิรัชและดำรงค์, 2517) มีรอยแตกตามแนวตั้งมากกว่าแนวนอน เปลือกไม้โกงกางใบเล็กมีแทนนินมากประมาณ 7-27 เปอร์เซนต์ของน้ำหนักเปลือกไม้
ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว เรียงตัวแบบตรงข้ามกัน ใบแต่ละคู่จะออกสลับทิศทางกัน (Opposite decussate) ขนาดกว้าง 3-8 ซม. ยาว 7-18 ซม. หรือเล็กกว่า ขอบใบเรียบ ใบหนาเป็นมัน รูปใบมน (elliptic) ค่อนไปทางรูปใบหอก ฐานใบสอบเข้าหากันคล้ายรูปลิ่ม (Cuneate) ปลายใบแหลม (Acute) หรือเป็นติ่ง (Apiculate) สีดำ มองเห็นชัดเจน ก้านใบยาว 1.5-3 ซม. หูใบสีแดงเข้ม ยาว 4-8 ซม. หุ้มใบอ่อนไว้ ใบเกลี้ยงทั้งหน้าใบและหลังใบมีจุดสีน้ำตาล ดอก เป็นดอกช่อแบบ Cymes ช่อหนึ่งมี 2 ดอกย่อยอยู่ชิดกันแตกออกจากซอกใบตรงปลายกิ่ง ที่ฐานดอกย่อยมีใบประดับ (bracteole) รูปถ้วยรองรับ เมื่อแห้งจะมีลักษณะแข็ง กลีบเลี้ยง (calyx) มี 4 กลีบ สีเขียวอมเหลือง แข็งอวบ ยาว 10-14 ซม. โคนกลีบติดกัน ปลายกลีบแยกเป็นแฉกรูปไข่ ปลายแหลมและยังคงติดอยู่จนเป็นผล กลีบดอก (petal) มี 4 กลีบ เป็นแผ่นบาง ๆ สีขาวรูปใบหอก ยาว 8-11 มม. ไม่มีขน ร่วงเร็ว เกสรตัวผู้ (stamen) มี 12 อัน ยาว 0.6-0.75 ซม. เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน รังไข่ แบบ half-inferior มี 2-3 ห้อง (locule) แต่ละห้องมี 2 ovule จะออกดอกประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม ผลแก่ประมาณเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ผล เป็นผลแบบ Drupebaceous มีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายไข่ (conicalovoid) เมื่อแก่จะไม่แตก (indehiscent) เปลือกของผลหยาบสีน้ำตาล มีส่วนของกลีบเลี้ยงติดอยู่ ภายใน 1 ผล มี 1 เมล็ด ซึ่งเมล็ดไม่มีการพักตัว จะเจริญต่อไปในขณะที่ผลยังติดอยู่บนต้นแม่ จัดเป็น (Viviparous seed) เมล็ดจะงอกส่วนของ radicle แทงทะลุออกมาทางปลายผล ตามด้วยส่วนของต้นอ่อน (Hypocotyl) ซึ่งเจริญยาวออกเรื่อย ๆ มีลักษณะปลายแปลมยาว สีเขียว หรือเรียกโดยทั่วไปว่า ฝัก ยาวประมาณ 30-40 ซม. ผลแก่ประมาณเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เมื่อผลแก่ คัพภะ (embryo) จะหลุดออกจากเปลือกผลปักลงดินเลนก็จะงอกทันที แต่ถ้าหล่นลงขณะน้ำทะเลขึ้นก็จะลอยไปตามน้ำ และมีชีวิตประมาณ 2 เดือน เมื่อเกยตื้นหรือติดอยู่กับที่จะงอกทันที
ประโยชน์
: ป่าชายเลน หรือป่าโกงกาง (Mangrove forest หรือ intertidal forest) คือ กลุ่มของสังคมพืชซึ่งขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุด และน้ำขึ้นสูงสุดบริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ หรืออ่าวป่าชายเลนเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด ทั้งพืชและสัตว์ ป่าชายเลน จึงให้ประโยชน์แก่มนุษย์มากมาย ทั้งในด้านพลังงานและไม้ใช้สอย ตลอดจนเป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนที่สำคัญ เนื่องจากป่าชายเลนเป็นที่วางไข่ แหล่งอาหาร และเจริญเติบโตของสัตว์น้ำเศรษฐกิจนานาชนิด นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเป็นเกราะกำบังและลดความรุนแรง ของคลื่นลมชายฝั่ง ช่วยดักตะกอนสิ่งปฏิกูล และสารพิษต่าง ๆ มิให้ไหลลงไปสะสมในบริเวณ ชายฝั่งและในทะเล