ช้างน้าว
 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Ochna integerrima   (Lour.) Merr.
วงศ์ :  OCHNACEAE
ชื่อสามัญ : -
ชื่ออื่น กระแจะ (ระนอง) กำลังช้างสาร (ภาคกลาง) ขมิ้นพระต้น (จันทบุรี)  แง่ง (บุรีรัมย์) ช้างน้าว ตานนกกรด (นครราชสีมา) ช้างโน้ม (ตราด) ช้างโหม (ระยอง) ตาลเหลือง (ภาคเหนือ) ฝิ่น (ราชบุรี)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-8 เมตร มีพุ่มใบและให้ดอกสวยงาม สีเหลืองอร่ามหรือแดงเจิดจ้า ตั้งแต่ปลายฤดูหนาวจนถึงสิ้นฤดูร้อน เป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ตลอดจนไฟป่าได้ดีมาก สามารถขึ้นได้ตามป่าผลัดใบได้ทุกภาคของประเทศ ตามปลายกิ่งจะมีกาบค่อนข้างแข็งปลายแหลมหุ้มตาอยู่ เมื่อผลัดใบหมดแล้ว จะเห็นปลายกิ่งแหลม นับได้ว่าเป็นลักษณะสำคัญประจำพันธุ์ไม้ชนิดนี้  ใบ อาจมีทั้งรูปขอบขนาน รูปไข่กลับ กว้าง 4-7 ซม. ยาว 8-20 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลมมน หรืออาจเว้าเข้าเล็กน้อย ส่วนที่ค่อนไปทางปลายใบมักจะกว้างแล้วค่อยๆ สอบแคบมาทางโคนใบ เส้นแขนงใบละเอียดถี่ บางทีคล้ายกับหนามแหลมๆ ก็มี เนื้อใบเกลี้ยงเนียนเป็นมันทั้งสองด้าน ก้านใบยาวประมาณ 0.5 ซม. ถ้าขึ้นตามป่าผลัดใบในที่ค่อนข้างแห้งแล้งมักจะทิ้งใบก่อนหรือในขณะออกดอก และถ้าอยู่ตามชายป่าดิบแล้งมักไม่ทิ้งใบ  ดอก เป็นช่อเดี่ยวๆ รวมกันเป็นกระจุกตามกิ่ง ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 4 ซม. กลีบรองกลีบดอกรูปขอบขนาน 5 กลีบ กลีบจะโค้งลงไปหาก้านดอก และติดอยู่จนกระทั่งเป็นผล กลีบดอกสีเหลืองบอบบาง อาจมี 5-6-10 กลีบ หลุดร่วงง่าย เกสรผู้มีกมากรวมกันเป็นกระจุก ตรงกลางจะมีปลายหลอดท่อรังไข่ยาวยื่นพ้นเกสรผู้ออกมา 1 อัน รังไข่มี 5-10 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 1 หน่วย ก้านดอกเรียวเล็ก ยาวประมาณ 4 ซม. โคนก้านมีกาบเล็กๆ หุ้มเมล็ด ผล มีเมล็ดสีเขียว 1-3 เมล็ด ติดอยู่บนฐานรังไข่ จะเปลี่ยนเป็นสีดำ บนฐานสีแดงเมื่อแก่เต็มที่
          ออกดอกเดือน มกราคม-พฤษภาคม
ประโยชน์
:  ปลูกเป็นไม้ประดับใช้รากปรุงเป็นยาขับพยาธิ ทำให้น้ำเหลืองดี