กระดังงาป่า
ชื่อวิทยาศาสตร์
: Polyalthia
lateriflora (Blume) King
วงศ์ :
Annonaceae
ชื่อสามัญ
: -
ชื่ออื่น : กระดังงาป่า
(เชียงใหม่) กล้วยหมูสัง กล้วยอีเห็น (ยะลา) เนียนเขา
(ชุมพร) กล้วย (นราธิวาส) ปีแซ (มลายู-นราธิวาส)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 10-20 เมตร
เส้นผ่าศูนย์กลางที่โคนลำต้น 20-35 เซนติเมตร
แตกกิ่งระดับสูงขนานกับพื้นดิน เปลือกเรียบ สีเทา หนา
และมีกลิ่นฉุน เนื้อไม้เหนียว ใบ รูปขอบขนาน กว้าง
6-12 เซนติเมตร ยาว 18-35 เซนติเมตร โคนใบมน
ปลายใบแหลม ใบค่อนข้างหนา ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน
เส้นแขนงใบมี 16-20 คู่ ก้านใบยาว 5-8 มิลลิเมตร ดอก
ออกเป็นช่อแบบกระจุกตามกิ่งแก่ ดอกสีเหลือง ก้านดอกยาว
4-6 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม กว้าง 2-3
มิลลิเมตร ยาว 3-4 มิลลิเมตร กลีบดอกค่อนข้างหนา
รูปแถบ กลีบชั้นในกว้าง 0.8-1.2 เซนติเมตร ยาว 5-7
เซนติเมตร กลีบดอกชั้นนอกแคบและสั้นกว่าเล็กน้อย
เมื่อบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 เซนติเมตร ผล ผลกลุ่ม
ก้านช่อผลยาว 4-6 เซนติเมตร มี 20-30 ผล ก้านผลย่อยยาว
1.5-2 เซนติเมตร แต่ละผลรูปรี กว้าง 2 เซนติเมตร
ผลแก่สีแดง มี 1 เมล็ด
ช่วงการออกดอกและติดผล
: ดอกบานเดือนมีนาคม ถึงตุลาคม ผลแก่หลังจากดอกบาน 6-7
เดือน
นิเวศวิทยา : ในป่าดิบชื้นภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้
และป่าพรุทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 50-600 เมตร
การขยายพันธุ์และการปลูกเลี้ยง :
โดยการเพาะเมล็ดและปลูกเป็นไม้ปลูกป่า
การใช้ประโยชน์ :
เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างและเป็นเชื้อเพลิง
ที่มาของข้อมูล : หนังสือพรรณไม้วงศ์กระดังงา ของ ดร.ปิยะ
เฉลิมกลิ่น, สำนักพิมพ์บ้านและสวน , พ.ศ.2544
หมายเหตุ:
มีพืชในวงศ์ Annonaceae
อีกต้นหนึ่งคือ การะเวก (Artabotrys
siamensis Miq.)
ซึ่งทางราชบุรีเรียก กระดังงาป่า
เช่นเดียวกัน
http://www.rspg.org/rare_plants/scien_name_a1.htm |