ปะการังกับภาวะโลกร้อน (Corals
and Global Warming)
โดย ดร.สุชนา ชวนิชย์
ปะการัง (coral)
เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่รวมกลุ่มกันเป็นโคโลน
(colony)
ในแต่ละโคโลนีนั้นจะมีตัวของปะการังที่เรียกว่า โพลิป
(polyp)
ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ
2-3
มิลลิเมตร เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ลักษณะของแต่ละโพลิป
ในกลุ่มของปะการังแข็ง (hard
coral)
เหล่านี้ จะมีหนวด (tentacle)
จำนวน
6
เส้น
หรือเป็นทวีคูณของหก
หนวดเหล่านี้มีหน้าที่หลักในการจับแพลงก์ตอน เป็นอาหาร
โดยทั่วไป
ปะการังมีสาหร่ายซูแซนเทลลี (zooxanthellae)
ซึ่งเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวอาศัย
อยู่ร่วมกันภายในเนื้อเยื่อของปะการัง
สาหร่ายซูแซนเทลลีให้พลังงานที่เป็นผลจากการสังเคราะห์แสงแก่ปะการังที่ใช้เป็นที่อาศัย
อีกทั้งให้สีสันที่หลากหลายกับปะการังด้วย
ดังนั้นหากปะการังเหล่านี้ไม่มีสาหร่ายซูแซนเทลลีแล้ว
ปะการังจะได้รับพลังงานไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
และปะการังก็จะมีแต่สีขาว
ซึ่งเป็นสีของโครงร่างหินปูนที่เป็นแคลเซียมคาร์บอเนตเท่านั้น
สีสันของโลกใต้น้ำบริเวณแนว
ปะการังก็คงไม่งดงามเหมือนที่เห็นเช่นปัจจุบัน
ปะการังฟอกขาว
ปะการังเปรียบเสมือนบ้านของสาหร่ายซูแซนเทลลี
ดังนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมภายนอก
ของบ้านหรือปัจจัยทางกายภาพของสภาพแวดล้อมที่ปะการังอาศัยอยู่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนไม่
เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต เช่น การที่อุณหภูมิของน้ำ
หรือระดับความเค็มของน้ำสูงขึ้นหรือต่ำลงกว่าสภาวะปกติ
ส่งผลให้สาหร่ายซูแซนเทลลีไม่สามารถอาศัยอยู่ใน
ปะการังได้อีกต่อไป
จึงจำเป็นต้องออกมาจากเนื้อเยื่อของปะการังเข้าสู่มวลน้ำเพื่อหาบ้านใหม่ที่ให้ตนเองสามารถเข้าไปอาศัยและดำรงชีวิตต่อไปได้
ปะการังที่ปราศจากสาหร่ายเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้รับพลังงานเสริมที่เพียงพอในการดำรงชีวิต
หากสถานการณ์ดำรงเช่นนี้ต่อไป
ปะการังก็จะตายในที่สุด
เมื่อสาหร่ายซูแซนเทลลีซึ่งเป็นสีสันของปะการัง
ออกจากตัวปะการังไปแล้ว
ปะการังก็จะกลับคืนมาเป็นสีขาว
ซึ่งคือสีของปะการังเอง
ดังนั้นปรากฏการณ์ที่ทำให้สาหร่ายซูแซนเทลลีออกจากปะการัง
จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว (coral
bleaching)
ทั้งนี้
ปะการังที่เกิดการฟอกขาวก็สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้
หากสาหร่ายซูแซนเทลลีเหล่านั้นกลับเข้าสู่ตัวปะการังอีก
ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงกลับคืนสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม
หากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นวงกว้างและระยะ วลายาวต่อเนื่อง
การฟื้นตัวของปะการังโดยธรรมชาติมีโอกาสเป็นไปได้ต่ำ หรือไม่มีเลย
โดยทั่วไปปะการังแข็งสามารถดำรงชีวิตโดยปราศจากสาหร่ายซูแซนเทลลีได้ประมาณ
2-3
สัปดาห์ ดังนั้น หากสาหร่าย ซูแซนเทลลีไม่กลับเข้าสู่ปะการังในช่วงเวลาดังกล่าว
ปะการังเหล่านั้นก็จะตายในที่สุด
ปรากฏการณ์ปะการังสีทอง
ปรากฏการณ์ปะการังสีทอง
ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนกันยายน ปี พ.ศ.
2549
และกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ณ ชายฝั่งทะเล
ค่ายเจษฎามหาราชเจ้า ตำบลแสมสาร
อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
จัดเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของการเกิดปะการังฟอกขาว
โดยปกติแล้ว
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่มีน้ำลงสูงสุดในตอนกลางวัน
ทำให้พื้นที่ตื้นชายฝั่งได้รับอิทธิพลจากแสงแดดเต็มที่อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น
อย่างชัดเจน ประกอบกับอิทธิพลของปรากฏการณ์
ลาณีญ่าที่เกิดฝนตกหนักเป็นบางช่วงอย่างต่อเนื่อง
น้ำฝนนั้นทำให้ระดับความเค็มของน้ำทะเลลดต่ำลง
นอกจากนั้น
การชะล้างตะกอนหรือของเสียจากฝั่ง
โดยฝนที่ตกลงมาและการระบายน้ำใช้สู่ท่อระบายน้ำที่
ปล่อยลงในบริเวณใกล้เคียง
จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ทำให้เกิดสภาวะที่ไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ดังกล่าว
บริเวณชายฝั่งค่ายเจษฎามหาราชเจ้า มีปะการังอ่อน (soft
coral)
ชนิดหนึ่งเรียกว่า ปะการังอ่อนดอกเห็ด
หรือปะการังอ่อนทองหยิบ หรือ
Sarcophyton
จำนวนมากอาศัยอยู่ ซึ่งปะการังอ่อน
Sarcophyton
นี้ สามารถพบกระจายทั่วไป ปะการังอ่อนแตกต่างกับ
ปะการังแข็งตรงที่ปะการังอ่อนจะไม่มีการสร้างโครง
ร่างหินปูนที่เป็นโครงสร้างแข็งขึ้นห่อหุ้มตัวภายนอก
หากแต่ฝังโครงร่างแข็งนี้ภายในเนื้อเยื่อเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง
และมีหนวดที่ใช้ในการจับอาหาร
8
เส้น หรือทวีคูณของแปด
ทั้งนี้ปะการังอ่อนยังแบ่งออกเป็นกลุ่มที่มีและไม่มีสาหร่ายซูแซนเทลลีร่วมอาศัยด้วย
โดยปะการังอ่อน
Sarcophyton
จัดอยู่ในกลุ่มที่มีสาหร่ายซูแซนเทลลี ดังนั้น
เมื่อปัจจัยแวดล้อมภายนอกไม่ปกติ สาหร่ายซูแซนเทลลีนี้จึงออกจากตัวปะการังอ่อนไป
ทำให้สีเนื้อเยื่อของโคโลนีปะการังอ่อนปรากฏขึ้น
สีที่พบเห็นทั่วไปมีทั้งสีน้ำตาล
เขียว เหลือง จนถึงครีม ดังนั้นเมื่อน้ำทะเลลดต่ำลง
ผิวน้ำทะเลสะท้อนแสงอาทิตย์อย่างเต็มที่
ประกายสีเหลืองทองอร่ามของปะการัง
Sarcophyton
ที่เกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวจึงเด่นชัดมากขึ้น
โดยปกติ ปะการังอ่อน
สามารถดำรงชีวิตโดยปราศจากสาหร่ายซูแซนเทลลีได้
2-3
เดือน หรืออาจถึง
6
เดือน
ซึ่งนานกว่าปะการังแข็ง มาก
เนื่องจากปะการังอ่อนนี้สามารถปรับตัวโดยการ
แบ่งหรือแยกตัวออกให้มีขนาดเล็กลง เพื่อลดการใช้
พลังงานส่วนหนึ่งส่วนใดสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ยาวนานที่สุด
ผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่มีต่อปะการัง
ภาวะโลกร้อน (global
warming)
หมายถึง การที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น
อันเนื่องมาจาก ปัจจัยหลายประการ
โดยเฉพาะ ปัจจัยที่เกิดจาก ภาวะ เรือนกระจก (green
house effect)
ตั้งแต่ศตวรรษที่ผ่านมา
มนุษย์ได้หันไปพึ่งพาการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่ได้มาจากฟอสซิล
เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ
เพื่อผลิตพลังงานในกระบวนการการเผาผลาญ
เชื้อเพลิงดังกล่าวมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นจำนวนมาก
ก๊าซนี้เมื่อถูกปล่อยออกไปแล้วจะถูกสะสม
อยู่ที่ชั้นบรรยากาศ และคอยกันความร้อนต่าง
ๆ ที่ถูกปล่อยออกจากพื้นผิวโลกไม่ให้ความร้อนสามารถ
ระบายออกสู่นอกชั้นบรรยากาศได้
จึงเรียกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่าเป็นก๊าซเรือนกระจก
และเรียกภาวะที่เกิดขึ้นว่าภาวะเรือนกระจก
ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นตามมา
จากการวิจัยมีการคาดการณ์ว่า
ผลของภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่องนี้สามารถส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ
90
เซนติเมตรในหนึ่งร้อยปีข้างหน้า
ระดับที่เพิ่มขึ้นของน้ำทะเลนี้
ทำให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย
ได้รับผลกระทบทั้งทางด้านกายภาพและชีวภาพหลายประการ
การเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวก็เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนด้วยเช่นกัน
การที่ปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำ
ดังนี้
อุณหภูมิของน้ำที่สูงขึ้นเพียง
2-3
องศาเซลเซียส สามารถส่งผลต่อการตายของปะการังได้
นอกจากนั้นยังมีผลต่อการสะสมหินปูนของปะการังลดลงเนื่องจากในสภาวะปกติ
ทะเลสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศได้ประมาณหนึ่งในสามของปริมาณทั้งหมดที่สะสม
เมื่อปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น
การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยน้ำทะเลจึงเพิ่มมากขึ้นตามสัดส่วน
และส่งผลต่อการลดลงของสารคาร์บอเนตไอออนที่เป็นส่วน
ประกอบสำคัญในการ
สร้างโครงร่างหินปูนของปะการัง
รวมถึงสัตว์ทะเลอีกหลายชนิด
อีกประการหนึ่ง
การที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อน
ส่งผลให้แนวปะการังอยู่ในระดับน้ำทะเลที่ลึกมากขึ้น
จึงทำให้ปริมาณแสงอาทิตย์ส่องลงไปถึงปะการังได้น้อยลง
และทำให้สาหร่ายซูแซนเทลลีซึ่งใช้แสงในการสังเคราะห์แสง
ได้รับแสงลดน้อยลง เมื่อใดก็ตาม
ที่ไม่มีแสงหรือมีแต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สาหร่ายซูแซนเทลลีดำรง
ชีวิตอยู่ได้
ปะการังที่พึ่งพาอาศัยสาหร่ายซูแซนเทลลีก็ไม่สามารถดำรงชีวิตได้เช่นกัน
ซึ่งรวมถึงสิ่งมีชีวิตอีกมากมายที่อาศัยแนวปะการังนั้น ๆ
ในการดำรงชีวิต
นอกจากนี้
ภาวะโลกร้อนสามารถส่งผลต่อการหมุนเวียนของน้ำทะเล (ocean
circulation)
ลดลง
หรือหยุด ปกติน้ำทะเลจะไม่เกิดเป็นชั้นน้ำที่อุ่น
หรือเย็นแบ่งแยกกันถ้าน้ำบริเวณนั้นมีการหมุนเวียน
แต่เมื่อใดก็ตามที่การหมุนเวียนของน้ำหยุด
จะทำให้น้ำแบ่งชั้น
สัตว์ที่อยู่บริเวณนั้น
เช่นปะการังก็จะได้รับผลกระทบ
เนื่องจากสภาพน้ำบริเวณนั้นมีอุณหภูมิที่สูง
หรือต่ำเกินไปคงอยู่เป็นเวลานาน
อนาคตของปะการังเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน
ปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่บนโลกมานานกว่า
200
ล้านปี
ปัจจุบันแนว
ปะการังได้ลดลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปะการังถูกทำลายและลดจำนวนลงอย่างมาก
เนื่องมาจากกิจกรรมที่เป็นผลจากการกระทำ ของมนุษย์
เช่น
การทำประมงที่มากเกินไป การท่องเที่ยว เป็นต้น
นอกจากนั้นภาวะโลกร้อนก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญในปัจจุบัน
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าร้อยละ
70
ของปะการังจะตายภายใน
40
ปีข้างหน้า
หากพวกเรา ไม่ช่วยกันป้องกันหรืออนุรักษ์ปะการัง
การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่ตามมาก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง
ที่สามารถสร้างความเข้าใจให้ประชาชนร่วมกันปกป้องรักษาปะการังได้
ผลกระทบที่ตามมาเหล่านี้
สุดท้ายอาจสะท้อนกลับมาสู่มนุษย์เราผู้เริ่มต้นของ
ปัญหาต่าง ๆ นั่นเอง
เมื่อปะการังได้รับผลกระทบ
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ หลากหลายที่อาศัยแนวปะการังเป็น
ที่อยู่อาศัยเป็นแหล่งหาอาหาร
หรือเป็นแหล่งหลบภัย ก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
รวมทั้งสัตว์เศรษฐกิจอีกมากมายที่มนุษย์เราใช้ประโยชน์
ที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง
ก็จะลดน้อยลง อีกทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
สถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย
ก็จะสูญหายไปด้วย
หากมนุษย์เราไม่คำนึงกันตั้งแต่บัดนี้
วันที่เราไม่อยากเห็นก็อาจปรากฏได้เร็วมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ |