|
มันแกว
ชื่อวิทยาศาสตร์:
Pachyrhizus erosus L.
Urb.
วงศ์ :
Leguminosae
ชื่อสามัญ : Jicama, Yam bean
ชื่ออื่น :
มันแกว (กลาง), หัวแปะกัวะ (ใต้), มันแกวละแวก มันแกวลาว (เหนือ), มันเพา
(อีสาน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ไม้เถาเลื้อยพัน มีหัวใต้ดิน เป็นรากสะสมอาหาร
ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ดอกช่อกระจะ ออกเดี่ยวๆ ที่ซอกใบ
มีขนสีน้ำตาล กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน รูปดอกถั่ว ผลเป็นฝัก รูปขอบขนาน แบน มีขน
เมล็ดมี 4-9 เมล็ด |
ส่วนที่เป็นพิษ
: มันแกวเป็นพืชที่มีหัวใต้ดินซึ่งรับประทานได้
แต่บางส่วนของมันแกวก็เป็นพิษได้เช่นกัน เช่น ใบและเมล็ดของมันแกวนั้นเป็นพิษ
สารพิษ :
ฝักอ่อนของมันแกวสามารถรับประทานได้ แต่เมื่อแก่จะเป็นพิษ
โดยเฉพาะที่เมล็ดของมันแกวนั้น มีสารที่มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลง หลายชนิด ได้แก่
pachyrrhizin, pachyrrhizone, 12-(A)-hydroxypachyrrhizone, dehydropachyrrhizone,
dolineone, erosenone, erosin, erosone , neodehydrorautenone, 12 -(A)-hydroxy
lineonone, 12-(A)-hydroxymundu- serone (8), rotenone (9) นอกจากนี้ยังมีสารซาโปนิน
ได้แก่ pachysaponins A และ B ซึ่งละลายน้ำได้ และเป็นพิษต่อปลาทำให้ปลาตาย
ส่วนใบของมันแกวนั้นมีสารพิษคือ pachyrrhizid ซึ่งมีพิษต่อโคและกระบือมากกว่าม้า
การเกิดพิษ : เมื่อศึกษาพิษของ rotenone พบว่า
ถ้ารับประทาน rotenone เข้าไป จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน การหายใจเข้าไปพิษจะรุนแรงกว่า โดยไปกระตุ้นระบบการหายใจ
ตามด้วยการกดการหายใจ ชัก และอาจถึงชีวิตได้
มีรายงานว่าถ้ารับประทานเมล็ดมันแกวเพียงครึ่งเมล็ดจะเป็นยาระบาย
และบางแห่งใช้เป็นยาขับพยาธิ ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง
นอกจากนี้อาจเกิดอาการพิษเรื้อรัง โดยทำให้ไขมันในตับและไตเปลี่ยนแปลง
ส่วนพิษของสารซาโปนิน จะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารเช่นกัน คือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
ปวดท้อง ลำไส้อักเสบ ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีปัญหาในระบบกล้ามเนื้อ
ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถทรงตัวได้ ระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติและทำให้ชักได้
(11)
การรักษา :
ล้างท้อง ให้รับประทานพวก demulcents เช่น นมและไข่ขาว ระวังการเสีย น้ำและ
electrolyte balance ถ้าสูญเสียมากต้องให้น้ำเกลือ ทางเส้นเลือด
ที่มาของข้อมูล :
http://www.medplant.mahidol.ac.th/poison/mankaew.htm
|