จันทน์กะพ้อ
 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vatica diospyroides  Syming

วงศ์ DIPTEROCARPACEAE
ชื่อสามัญ :
ชื่ออื่น :  เขี้ยวงูเขา  จันทน์พ้อ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ต้นใหญ่ ลำต้นสูงประมาณ 6-15 เมตรไม่ผลัดใบ  ทรงพุ่มโปร่งไม่ค่อยสวย มีใบน้อย ต้นแตกกิ่งจำนวนมากที่ยอด กิ่งเปราะ มีน้ำยางใสซึมออกมาตามรอยแตก  ใบเดี่ยว ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน รูปรีแกม ขอบขนานหรือรูปใบหอก โคนใบเบี้ยว และจะหลุดร่วงไปตามอายุ ดอก ออกดอกเป็นช่อสั้นๆ ที่ซอกใบและปลายกิ่ง มี 5 กลีบ สีขาวหรือเหลืองอ่อน กลีบดอกมีขนนุ่มสีน้ำตาล ดอกเล็กแต่กลิ่นหอมแรงมาก หอมร้อนๆ คล้ายกับแก้วกาหล ดอกทยอยบานในเวลาใกล้เคียงกัน ออกดอกประมาณเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม  มักดกในราว มกราคม-กุมภาพันธ์ เมื่อเริ่มปลูกใช้เวลาประมาณ 5-7 ปีจึงจะออกดอก

          วิธีปลูกใช้เพาะเมล็ดขึ้นในร่มๆ จะดีกว่าที่แจ้ง แต่โอกาสที่จะเพาะขึ้นเป็นต้นนั้นน้อยมาก  ไม่เกินร้อยละสิบ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีราคาแพง และหายาก           ต้นนจันทน์กะพ้อเจริญเติบโตช้า  ปลูกกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1  ระยะแรกปลูกเฉพาะในรั้วในวัง  ต่อมาจึงแพร่ออกมาสู่ภายนอก
          จันทน์กะพ้อเป็นพันธุ์ไม้วงศ์เดียวกับ เต็ง รัง และยางนา  เดิมมีรายงานพบขึ้นเกือบทั่วประเทศ   มีถิ่นกำเนินในเอเซียเขตร้อน  จันทน์กะพ้อนอกจากจะหาได้ยาก ขยายพันธุ์ได้ยากแล้ว ยังต้องการ ถิ่นนอาศัยในที่ๆ ลมไม่แรงนัก มีความชื้นในอากาศดี ดินมีการระบายน้ำได้ดี และมีร่มเงาจากไม้อื่น จึงจะเจริญเติบโตได้ดี
ประโยชน์ :  สมัยก่อนคนโบราณใช้ดอกกลั่นทำน้ำมันใส่ผม ดอกปรุงเป็นยาหอมแก้ลม บำรุงหัวใจ ถึงแม้ปัจจุบันโรงงานทำน้ำหอมจะสนใจในการผลิตน้ำหอมจากดอกจันทน์กะพ้อแต่มีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยมาก ตราบใดที่ยังขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นไม่ได้