สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่
             Klong Phai Botanical Garden   
 

Anacardiaceae









มะม่วงหิมพานต์
 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anacardium occidentale L.
วงศ์ : Anacardiaceae

ชื่อสามัญ Cashew Nut Tree
ชื่ออื่น :  กะแตแก (มลายู-นราธิวาส); กายี (ตรัง); ตำหยาว, ท้ายล่อ, ส้มม่วงชูหน่วย (ภาคใต้); นายอ (มลายู-ยะลา); มะม่วงกาสอ (อุตรดิตถ์); มะม่วงกุลา, มะม่วงลังกา, มะม่วงสิงหน, มะม่วงหยอด (ภาคเหนือ); มะม่วงทูนหน่วย, ส้มม่วงทูนหน่วย (สุราษฎร์ธานี); มะม่วงยางหุย, มะม่วงเล็ดล่อ (ระนอง); มะม่วงไม่รู้หาว, มะม่วงหิมพานต์ (ภาคกลาง); มะม่วงสิโห (เชียงใหม่); มะโห (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน); ยาโงย, ยาร่วง (ปัตตานี)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 6-10 เมตร ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวแบบเรียงสลับ ขนาดกว้าง 7.5-10 เซนติเมตร โคนใบแหลม ปลายใบมน ช่อดอกยาว 15-20 เซนติเมตร โดยแตกออกจากซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอกเริ่มแรกจะมีสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู มีการพัฒนาฐานรองดอกให้ขึ้น มีลักษณะคล้ายผลชมพู่ สีเหลืองแกมชมพู แล้วค่อยเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง เนื้อในนิ่ม ที่ปลายจะมีผลติดอยู่เป็นรูปไต ลักษณะเปลือกแข็ง สีน้ำตาลแกมเทา ยาว 2.5-3 เซนติเมตร ความแตกต่างของฐานรองดอก หรือขั้วผล ทำให้แบ่งมะม่วงหิมพานต์ออกเป็น 3 varieties คือ Americanum ซึ่งลักษณะก้านชูอับเรณูยาว ไม่มีอับเรณู ขั้วผลโตกว่าผลจริง 10 เท่า และ Indicum ซึ่งก้านชูอับเรณูยาวเช่นกัน แต่มีอับเรณูหนา และขั้วผลโตกว่าผลจริงประมาณ 3 เท่า ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด
การใช้ประโยชน์
ทางอาหาร ฐานรองดอก ที่พองโตเหมือนผลมีกลิ่นหอมรับประทานได้ ใบอ่อนเป็นผัก ผล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเมล็ด นำมาคั่วหรืออบรับประทาน ทางสมุนไพร ผล ใช้ฆ่าเชื้อ ขับปัสสาวะ เมล็ด แก้กลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง เปลือก แก้บิด ยอดอ่อน รักษาริดสีดวงทวาร ยาง ทำลายตาปลา กัดทำลายเนื้อร้ายที่ด้านเป็นปุ่มโต น้ำมัน ใช้ฆ่าเชื้อ รักษาโรคเรื้อนแก้บาดแผลเน่าเปื่อย